ฟันด์โฟลว์ทะลัก‘บอนด์-หุ้นไทย’ ‘ThaiBMA’ชี้ต่างชาติแค่พักเงิน

ThaiBMA เผย “ฟันด์โฟลว์” ทะลักเข้าบอนด์ไทย อายุน้อยกว่า 1 ปี ช่วง 2 วัน เฉียด 4 หมื่นล้าน หวัง พักเงินเก็งกำไรระยะสั้น ซื้อสะสมตั้งแต่ต้นปีเฉียด แสนล้าน ย้ำตลาดมีเสถียรภาพ
ความเคลื่อนไหว “เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ” (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าซื้อสุทธิต่อเนื่อง ทั้งใน “ตลาดตราสารหนี้” และ “ตลาดหุ้นไทย” วานนี้ (7 พ.ค. 2568) ซื้อสุทธิสะสมเดือนพ.ค.ในตลาดตราสารหนี้ไทยรวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท และซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีเฉียด “แสนล้านบาท”
ซึ่งเป็นการโยกมา “พักเงิน” ระยะสั้น เป็นการ “เก็งกำไร” แนวโน้มคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลุ้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงและผลบวกค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกลับสกุลเงินอื่นๆ โดยเฉพาะเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
ขณะที่ ความเคลื่อนไหว “ตลาดหุ้นไทย” ปิดตลาดวานนี้ ปรับขึ้น 32.40 จุด หรือปรับขึ้น 2.73% ปิดที่ระดับ 1,220.27 จุด มูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 53,984.70 ล้านบาท
แบ่งเป็นนักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 2,423.36 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 276.11 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 4,523.97 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศ ขายสุทธิ 7,223.44 ล้านบาท
ซึ่งมีแรงหนุนจากการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนมีสัญญาณบวกและจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน หนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มชิ้นส่วนฯ กลุ่มค้าปลีก
“ฟันด์โฟลว์” ไหลเข้าบอนด์ไทย
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าช่วง 2 วันที่ผ่านมา พบเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาพักเงินระยะสั้นในตลาดตราสารหนี้ไทย มูลค่าเกือบ 40,000 ล้านบาท เป็นการไหลเข้าซื้อสุทธิ วันที่ 2 พ.ค. จำนวน 1,600 ล้านบาท วันที่ 6 พ.ค. จำนวน 25,900 ล้านบาท และวันที่ 7 พ.ค. ณ 12.00 น. จำนวน 13,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรระยะสั้น อายุน้อยกว่า 1 ปี
หากย้อนดูจากช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ (1 ม.ค.-30 เม.ย. 2568) มีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิ 56,450 ล้านบาท และนับรวมซื้อสะสมสุทธิตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (7 พ.ค. ณ 12.00 น.) จำนวน 96,950 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ช่วงปลายเดือนเม.ย. 2568 หลังสหรัฐขึ้นภาษีไทย และ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มีเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาพักเงินระยะสั้นในตลาดและไม่นานไหลออกเช่นกัน
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติเข้ามาพักเงินในตลาดระยะสั้น ด้วยมุมมองมีโอกาสทำกำไรหากผลตอบแทนระยะสั้น จากค่าเงินบาท เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าจะเห็นเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น และอัตราเงินเฟ้อของไทยยังต่ำกว่าคาด ทำให้ตลาดมองแนวโน้ม กนง.ยังมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง รวมถึงปรับสถานะถือครองพันธบัตรเพิ่มเติม ก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟดรอบนี้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มฟันด์โฟลว์หลังจากนี้ มองว่า ยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดพันธบัตรของไทย เป็นลักษณะการนำเงินเข้าออก มาพักเงินระยะสั้นตามปัจจัยในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งที่มูลคค่าระดับดังกล่าว ยังไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมตลาดตราสารหนี้ของไทยแม้ว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ย แต่ฝั่งตลาดสหรัฐ ยังมีความไม่แน่นอนท่ามกลางการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐ รวมถึงความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับบรรดาประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ จีน
บอนด์ไทย มีเสถียรภาพ-สภาพคล่อง
ทั้งนี้ ตลาดพันธบัตรของไทย ยังคงมีเสถียรภาพและสภาพคล่องรองรับหากเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ สะท้อนจากรัฐบาลออกพันธบัตรจะมีผลตอบรับที่ดียอดจองล้นหลามและในตลาดหุ้นกู้คุณภาพ ยังมีเงินออมจากนักลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีหุ้นกู้บางกลุ่มที่ยังประสบปัญหายืดชำระหนี้หุ้นกู้ แต่หลังช่วงโควิด -19 เป็นต้นมา ตลาดมีการเรียนรู้และการปรับตัวที่ดีขึ้น นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นด้วย
และในระยะต่อไป หากทางการสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา และมีนโยบายให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ เชื่อว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยยังเป็นแหล่งสนับสนุนการระดมทุน และสภาพคล่องที่ล้นในระบบเงินฝาก ทั้งนักลงทุนและเอกชน เป็นเม็ดเงินเป็นสภาพคล่องที่พร้อมที่จะออกมาสนับสนุนไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ตลาดหุ้นไทย มีแรงหนุนจากการเจรจาสหรัฐกับจีนที่จะเกิดขึ้นปลายสัปดาห์ และราคาน้ำมันขยับขึ้นมากว่า4% หนุนหุ้นไทยที่มีสัดส่วนอิงกับราคาถึง 1 ใน 3 ของตลาดมีโอกาสขยับขึ้นต่อ
ขณะที่ ฟันด์โฟลว์เริ่มเข้ามากระจุกตัวในตลาดการเงินของไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ ไทย ณ 6 พ.ค. 2568 ต่างชาติซื้อสุทธิสูง 26,000 ล้านบาท (สูงสุดในปีนี้) และหลังสงกรานต์ซื้อสะสมมาแล้ว 68,000 ล้านบาท และสลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและตลาด TFEX 3 ใน 4 วัน หลังสุดแนะสะสม 1. หุ้นน้ำมัน 2. หุ้นกำไรเติบโตต่อเนื่อง และ 3.หุ้นราคาลงมาลึกกว่าพื้นฐาน
คาดเงินต่างชาติแนวโน้มไหลเข้าต่อ
นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า วานนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นบนความคาดหวังข้อตกลงการค้า หลังมีข่าวรัฐมนตรีคลังสหรัฐ สก็อต เบสเซนท์ และ ผู้แทนการค้าสหรัฐ เจมีสัน เกรียร์ เตรียมพบกับเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงของจีน ภายในสัปดาห์นี้ ที่สวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นก้าวแรกในการเจรจาเกี่ยวกับนโยบายภาษีระหว่างสหรัฐกับจีน
ประกอบกับวานนี้ (7 พ.ค.2568 )ธนาคารกลางจีน (PBOC) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 10 bps จาก 1.50% เป็น 1.40% และปรับลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายของธนาคาร หรือ Reserve Requirement Ratio (RRR) ลง 50 bps ส่งผลให้กลุ่ม Global play ปรับตัวขึ้นแรง โดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC IVL IRPC) แพคเกจจิ้ง (SCGP) อิเล็กทรอนิกส์ (DELTA) รวมถึงกลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้าที่ได้อานิสงค์บวกจากข่าวแนวทางการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่
ประเมินอาจเห็นเม็ดเงินต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดพันธบัตรไทยและตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสำหรับในตลาดพันธบัตรไทย เชื่อนักลงทุนต่างชาติเก็งกำไรแนวโน้ม กนง. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อตามภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบต่ำกว่าเป้าหมายนโยบาย รวมถึงผลบวกบนค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าเทียบกลับสกุลเงินอื่นๆ โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง
ขณะที่ด้านตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น ตาม valuation ที่ถูกและเริ่มมีประเด็นข่าวบวกเข้ามาช่วยหนุน ทั้งเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่จะเข้ามาของกองทุน Thai ESGX และความคาดหวังเชิงบวกบนข้อตกลงทางการค้าที่อาจเห็นความคืบหน้าเร็วๆ นี้
มองแนวโน้มหลักของดัชนีเริ่มกลับมาฟื้นตัว คาดแนวต้านดัชนีระยะที่บริเวณระดับ 1,215 และ 1,235 จุด และแนวรับที่บริเวณ 1,185 และ 1,200 จุด ตามลำดับ







