จาก ‘ตึงเครียด กีดกัน ผันผวน’ สู่ ‘การแบ่งขั้ว’ ทวีความรุนแรงขึ้น

‘สมประวิณ‘ วิเคราะห์สถานการณ์โลก ชี้จาก ‘ตึงเครียด กีดกัน ผันผวน’ สู่ ‘การแบ่งขั้ว’ กระแสการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนชนวนสำคัญที่ทำให้เกิด ‘การแบ่งขั้ว’
'ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ' นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของไทย เปิดรายงานการวิเคราะห์ เศรษฐกิจโลก ที่ขณะนี้กำลังเข้าสู่สถานการณ์ 'ตึงเครียด กีดกัน ผันผวน'
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1784 เรือสำเภาลำแรกที่ชื่อ Empress of China ออกเดินทางจากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มุ่งสู่นครกว่างโจว ประเทศจีน ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับดินแดนทางฝั่งตะวันออก ที่ยาวนานกว่า 240 ปีในปัจจุบัน
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง จนกระทั่งวันที่ 1 มกราคม 1995 ประเทศเศรษฐกิจสำคัญได้ร่วมกันก่อตั้งองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) เพื่อเป็นเวทีให้ประเทศสมาชิกเข้าร่วมการเจรจาการค้า
และกำหนดกฎระเบียบร่วมกัน หลังจากนั้นการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศก็ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด โดยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศต่อ GDP โลกเพิ่มขึ้นจากประมาณ 40% ในปี 1995 มาถึงเกือบ 60% ในปี 2005 เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘โลกาภิวัตน์’ (Globalization) (รูปที่ 1 สีม่วง)
แนวคิดโลกาภิวัฒน์อธิบายว่าการค้าเสรีจะเอื้อให้แต่ละประเทศผลิตและส่งออกสินค้าที่ตน ‘เก่งกว่า’ คนอื่น นั่นคือสามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีต้นทุนต่อหน่วยต่ำ จึงสามารถส่งออกสินค้าได้ในราคาถูก หากกลไกตลาดสามารถหมุนทรัพยากรทางเศรษฐกิจไปยังประเทศผู้ผลิตที่เก่ง
จึงเกิดการผลิตและจ้างงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันผู้บริโภคทั่วโลกก็สามารถซื้อสินค้าในราคาถูกลง จึงเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโลกในภาพรวม
แต่ในความเป็นจริง ทรัพยากรทางเศรษฐกิจไม่สามารถหมุนเวียนได้อย่างสมบูรณ์ เพราะมีต้นทุนในการเคลื่อนย้าย ดังนั้น จึงมีทั้งประเทศที่ได้และเสียประโยชน์จากการค้าเสรี ประเทศที่เสียประโยชน์
จึงเริ่มไม่แน่ใจกับแนวคิดการค้าเสรี และเริ่มตั้งคำถามว่า“โลกาภิวัตน์ดีจริงหรือไม่” กระแสต่อต้านการค้าเสรีจึงก่อตัวขึ้น หลายประเทศเริ่มดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า กดดันให้ ‘กระแสโลกาภิวัตน์ชะลอตัว’ (รูปที่ 1 สีส้ม)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างกัน สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนหลายครั้ง กีดกันธุรกิจเทคโนโลยีของจีน และมีปฏิสัมพันธ์กับไต้หวันมากขึ้น และเมื่อมองไปข้างหน้า สหรัฐภายใต้การนำของนาย Donald Trump อาจปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอาจถูกปรับขึ้นไปสูงถึง 145%
- จาก ‘ตึงเครียด กีดกัน ผันผวน’ สู่ ‘การแบ่งขั้ว’
กระแสการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิด ‘การแบ่งขั้ว’ (Decoupling) ทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และจีน เราสามารถสังเกตเห็นได้จากรูปแบบการลงคะแนนเสียงในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก (รูปที่ 2) ได้แก่
กลุ่มสีน้ำเงิน คือกลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันประมาณ 60% ของมูลค่า GDP โลก
กลุ่มสีแดง คือกลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน เช่น รัสเซีย อินเดีย และปากีสถาน มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันประมาณ 24% ของมูลค่า GDP โลก
กลุ่มสีเทา คือกลุ่มประเทศที่วางตัวเป็นกลาง หรือลงคะแนนเสียงให้ทั้งสองฝั่งสลับกันโดยไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน เช่น ไทย และเวียดนาม
ขณะที่ในฝั่งของกลุ่มสีแดง สัดส่วนการนำเข้าสินค้าขั้นกลางจากฝั่งตรงข้ามในปี 2019 ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2015 เทียบกับช่วงปี 2011-2015 ที่การนำเข้าสินค้าขั้นกลางจากกลุ่มสีน้ำเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ในระยะต่อไป หากการแบ่งขั้วทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น เราอาจเห็นห่วงโซ่การผลิตโลกที่แบ่งตัวออกเป็นห่วงโซ่ขนาดเล็กลง 2 วง โดยแต่ละประเทศจะค้าขายกับคู่ค้าที่ไม่ได้มีจุดยืนทางการเมืองขัดแย้งกัน
ในทางเศรษฐศาสตร์ หากทุกประเทศในโลกสามารถค้าขายกันได้อย่างเสรี ประเทศผู้นำเข้าจะเลือกจับคู่กับผู้ส่งออกที่มีประสิทธิภาพสูงสุด (ถูกสุด ดีสุด) บนห่วงโซ่การผลิตนั้น ดังนั้นจึงมีเพียงคนที่ ‘เก่งที่สุด’ ที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรมการผลิตนั้น
มีแต่หากห่วงโซ่การผลิตโลกแบ่งตัวออกเป็น 2 วง ประเทศผู้นำเข้าจะต้องเลือกผู้ส่งออกใหม่จากประเทศที่ไม่ได้มีจุดยืนทางการเมืองขัดแย้งกัน ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่เก่งที่สุด สิ่งดังกล่าวจึงเปิดโอกาสให้ ‘พระรอง’ มีโอกาสเข้าร่วมกับการสร้างมูลค่าเพิ่มบนห่วงโซ่การผลิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะประเทศสีเทาที่ไม่ได้มีจุดยืนขัดแย้งกับทั้งประเทศสีน้ำเงินและแดง
หากประยุกต์แบบจำลองของ Melitz (2003) และ Acemoglu, Carvalho, Ozdaglar and Tahbaz-Salehi (2012) ผนวกเข้ากับตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต OECD Inter-Country Input-Output (ICIO) ในปี 2019 เพื่อจำลองการแบ่งตัวของห่วงโซ่การผลิตโลก
โดยสมมติว่ากลุ่มสีน้ำเงินและกลุ่มสีแดงยุติการค้าระหว่างกันอย่างสมบูรณ์ ประเทศในกลุ่มสีน้ำเงินและสีแดงต้องหันกลับมา (1) พึ่งพาสินค้าขั้นกลางภายในประเทศ (2) นำเข้าจากประเทศในกลุ่มเดียวกัน หรือ (3) นำเข้าจากประเทศกลุ่มสีเทา (Trade Diversion) โดยจะเลือกประเทศผู้ส่งออกใหม่จากความสามารถในการผลิตและส่งออกโดยเปรียบเทียบ รูปที่ 3 แสดงโครงสร้างการผลิตโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศในกลุ่มตรงข้ามได้ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าขั้นกลาง ในทางตรงข้าม ประเทศในกลุ่มสีเทาจะได้รับอานิสงส์จากการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นกับกลุ่มสีน้ำเงินและสีแดง โดยจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้าขั้นสุดท้ายมากกว่าสินค้าขั้นกลาง
คำถามที่สำคัญต่อมาคือ ไทยจะได้รับผลกระทบจากการแบ่งขั้วของห่วงโซ่การผลิตโลกมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับ
- (1) ไทยมีความสามารถในการผลิตและส่งออกสินค้ามากแค่ไหน เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และ
- (2) ตลาดส่งออกแข่งขันเข้มข้นเพียงใด หากคำนวณดัชนีแสดงความสามารถในการผลิตและการส่งออกของไทยเทียบกับประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในแต่ละตลาดส่งออก (แบ่งตามประเทศและอุตสาหกรรมปลายทาง) เปรียบเทียบกับดัชนี Herfindahl-Hirschman Index (HHI) ที่วัดการกระจุกตัวในตลาดส่งออก โดยใช้โครงสร้างการค้าหลังจากการแบ่งขั้วที่เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ จากการคำนวณพบว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นภาคการผลิตที่ไทยผลิตเก่งโดยเปรียบเทียบ และตลาดส่งออกไม่ได้แข่งขันสูง จึงอาจได้ประโยชน์จากการแบ่งขั้วการค้าเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่า ขณะที่ภาคการผลิตที่มีมูลค่าการส่งออกสูง เช่น อุตสาหกรรมการผลิตคอมพิวเตอร์และการผลิตรถยนต์จะต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้น ส่งผลให้ไทยได้รับอานิสงส์จากการแบ่งขั้วน้อยลง
มองไปข้างหน้า การแบ่งตัวของห่วงโซ่การผลิตโลกจะสร้างทั้งความท้าทายและโอกาสทางการค้า ไทยจะคว้าโอกาสไว้ได้ก็ต่อเมื่อวางแผนการผลิตและการเจรจาทางการค้าอย่างมี ‘ยุทธศาสตร์’ นั่นคือจะต้องเลือกภาคการผลิตและประเทศคู่ค้าที่มีโอกาสสูง ที่ไทยมีความสามารถในการผลิตและส่งออก และสามารถแข่งขันได้ในห่วงโซ่การผลิตใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายส่งเสริมการส่งออกจะต้องมียุทธศาสตร์เฉพาะที่เหมาะสมกับลักษณะและเงื่อนไข ‘เฉพาะตัว’ ของแต่ละภาคการผลิตและตลาดส่งออกแต่ละตลาด
เราสามารถแบ่งภาคการผลิต-ตลาดส่งออก ออกเป็น 2กลุ่มคือ
1. ภาคการผลิตหรือตลาดส่งออกที่ไทยมีความสามารถในการผลิต แต่ต้องเผชิญการแข่งขันสูง การดำเนินนโยบายควรสนับสนุนให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและบริหารต้นทุน เพื่อให้มีความพร้อมในการรองรับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงต่อส่วนต่างกำไร นอกจากนี้ยังอาจสนับสนุนให้ธุรกิจสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าและการสร้างแบรนด์ เพื่อสร้างคุณค่าเฉพาะของสินค้าส่งออก
2. ภาคการผลิตหรือตลาดส่งออกที่ไทยไม่ต้องเผชิญการแข่งขันสูง แต่ไม่ได้มีความสามารถในการผลิตและการส่งออก อุตสาหกรรมหรือตลาดประเภทนี้แม้จะไม่ได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันมากนัก แต่อาจไม่ได้มีส่วนร่วมกับการสร้างมูลค่าบนห่วงโซ่การผลิตมากนัก การดำเนินนโยบายจึงควรให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรมบนตัวห่วงโซ่การผลิตเองเป็นหลัก
การแบ่งตัวของห่วงโซ่การผลิตโลกเปรียบได้กับกระแสลมแรงที่กำลังเปลี่ยนทิศ หากเราสามารถปรับหันใบเรือไปจับทางลมที่กำลังเปลี่ยนทิศได้อย่างเหมาะสม มียุทธศาสตร์ อากาศก็จะกลายเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจไทย ลมเปลี่ยนทิศอาจเป็นโอกาสสำคัญที่ต้องรีบคว้าไว้ การกำหนดทิศทางใหม่และการปรับตัวโดยเร็วจะช่วยให้สำเภาไทยแล่นไปต่อได้ในเวทีโลก…
“The pessimist complains about the wind;
the optimist expects it to change;
the realist adjusts the sails.”William Arthur Ward







