‘กับดักสภาพคล่อง’ ทุบ ศก.ไทย ‘เงินในระบบสูง-สินเชื่อฟุบ’

‘นักเศรษฐศาสตร์” ห่วงไทยกำลังเจอ “กับดักสภาพคล่อง” แม้ลดดอกเบี้ยนโยบาย เหตุธนาคารไม่ปล่อยกู้ ธปท.รับ “เอกชน” ไม่ต้องการกู้สินเชื่อ ไม่อยากลงทุนเพิ่ม
KEY
POINTS
- “นักเศรษฐศาสตร์” ห่วงสัญญาณของ “กับดักสภาพคล่อง”
- สะท้อนถึงภาวะที่เงินในระบบไม่สามารถหมุนเวียนต่อไปยังภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผลจากการขาดดีมานด์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แม้วันนี้ประเทศไทย
- ย้ำวันนี้ยังไม่เผชิญกับ กับดักสภาพคล่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่า “ใกล้” เต็มที่ หากปล่อยให้สถานการณ์ต่างๆ ลากยาวยืดเยื้อ ที่อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของประเทศในระยะข้างหน้าได้
ซึ่งสะท้อนถึงภาวะที่เงินในระบบไม่สามารถหมุนเวียนต่อไปยังภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นผลจากการขาดดีมานด์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แม้วันนี้ประเทศไทยยังไม่เผชิญกับ กับดักสภาพคล่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่า “ใกล้” เต็มที่ หากปล่อยให้สถานการณ์ต่างๆ ลากยาวยืดเยื้อ ที่อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของประเทศในระยะข้างหน้าได้
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัญหาสภาพคล่อง การเข้าถึงสินเชื่อคงไม่ใช่มาจาก “ดอกเบี้ย” เพียงอย่างเดียว โดยการลดดอกเบี้ยมีส่วนช่วยสินเชื่อเก่า ลดภาระผู้กู้ แต่การเข้าถึงสินเชื่อใหม่ต้องแล้วแต่ความเสี่ยงผู้กู้ ซึ่งวันนี้ความเสี่ยงผู้กู้โดยเฉพาะเซกเตอร์ที่รับผลกระทบค่อนข้างมากจากสงครามการค้าเสี่ยงสูงขึ้น
ดังนั้น การแก้ปัญหาต้องดูแลเรื่อง Credit risk ผ่านการค้ำประกันเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นตัวสำคัญที่ทำให้การไหลเวียนของสินเชื่อทำได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ การเข้าถึงสินเชื่อไม่ได้มาจากปัญหา “สภาพคล่อง” เพราะขณะนี้สภาพคล่องของแบงก์สูงเป็นประวัติการณ์ และการดำรงเงินกองทุนของแบงก์ค่อนข้างสูง และมั่นคงอย่างมาก ดังนั้น ด้านสภาพคล่องไม่ได้มีข้อจำกัด แต่ความเสี่ยงขณะนี้อยู่ที่ทำให้สภาพคล่องไม่ถูกไหลเวียนออกไป
“จากการหารือภาคธุรกิจ คือ ภาคธุรกิจยังไม่ต้องการกู้ ไม่ต้องการลงทุนเพิ่มจากความไม่แน่นอน ที่สำคัญต้องทำให้ความไม่แน่นอนต่างๆ มีความชัดเจนมากขึ้นที่จะมีส่วนช่วยส่วนนี้ได้”
กับดักสภาพคล่อง “ลดดอกเบี้ย-สินเชื่อฟุบ”
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยจะเสริมสภาพคล่องลักษณะของเงินสินเชื่อที่จะเข้าสู่ระบบมากขึ้นนั้น คงไม่ได้หวังผลตรงนั้นมากนัก แม้ลดดอกเบี้ยไม่ช่วยให้สินเชื่อปีนี้ขยายตัวโดดเด่น โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีปัญหาเชิงโครงสร้าง
อีกทั้งประเทศมีปัญหาเครดิตสูงจากอุปสงค์ในประเทศเติบโตช้า ทำให้ความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อมีสูงที่จะกลายเป็นหนี้เสีย ทำให้สถาบันการเงินระวังปล่อยสินเชื่อทั้งเอสเอ็มอี สินเชื่อบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์
ดังนั้น การลดดอกเบี้ยโดยหวังว่าจะช่วยเสริมสภาพคล่อง สร้างแรงจูงใจในการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น เงินจะได้หมุนในระบบเศรษฐกิจเหมือนในอดีต คงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทำให้สินเชื่อปีนี้ขยายตัวระดับต่ำต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สิ่งที่กังวลคือ กับดักสภาพคล่องต่อให้ “ลดดอกเบี้ย” สภาพคล่องในระบบไม่ได้ถูกเติมเข้ามา แม้การลดดอกเบี้ยต้องการลดภาระการเงินหรือภาระหนี้ อีกทั้งความเสี่ยงที่สูงทำให้แบงก์ระวังปล่อยสินเชื่อ จึงทำให้สินเชื่อที่เป็นสภาพคล่องส่วนนี้อาจไม่ได้ออกมากนัก
ขณะที่ไทยโดนลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือสู่ด้านลบจากเสถียรภาพ โดย MOODY'S คงเรตติ้ง ปรับเพียง OUTLOOK ไม่น่าทำให้เสถียรภาพตลาดการเงินสั่นสะเทือน (หนี้ครัวเรือนไม่น่าเพิ่ม) ขณะที่ เงินเฟ้อไทยต่ำ บาทแข็ง ดังนั้น การลดดอกเบี้ยช่วยผ่อนคลายตลาดเงิน และไม่เป็นตัวต้าน ช่วยผ่อนภาระทางการเงินผู้เป็นหนี้
แต่มุมนักเศรษฐศาสตร์ห่วงกับดักสภาพคล่อง (LIQUIDITY TRAP) คือ ลดดอกเบี้ยไปสินเชื่อไม่ขยายตัว เป็นปัญหาความเชื่อมั่น ต้องแก้ด้วยมาตรการการคลัง แต่ตอนนี้หวังมาตรการกระตุ้นการคลังที่มีประสิทธิผลยากขึ้น โดยเฉพาะถ้าห่วงเรื่องอันดับความน่าเชื่อถือ
“ไทย” ใกล้เผชิญภาวะกับดักสภาพคล่อง
ทั้งนี้ หากถามว่าไทยเผชิญกับ กับดักสภาพคล่องแล้วหรือไม่ “ใกล้” จะเกิดเพราะไทยเผชิญความเชื่อมั่นที่ทำให้สถาบันการเงินระวังปล่อยสินเชื่อตามภาวะ Credit risk บวกกับความต้องการสินเชื่อของธุรกิจต่ำลง
“กับดักสภาพคล่อง คือ ภาวะที่สินเชื่อไม่ขยายตัวเลย แต่วันนี้ยังขยายตัวได้ดี แต่อยู่ระดับต่ำ ฉะนั้น วันนี้ทุกอย่างยังไม่ถึงขั้นหยุดชะงัก คนยังใช้จ่าย แต่ถ้าถึงจุดที่คนขาดความเชื่อมั่นมาก สินเชื่อขยายตัวต่ำ ความต้องการสินเชื่อใหม่ของแบงก์ลดลง ไม่มั่นใจลงทุน แบงก์ระวังปล่อยกู้มากขึ้น แบบนี้เรียกว่า “กับดักสภาพคล่อง” ซึ่งในอดีตบางช่วงเจอมาแล้วตอนวิกฤติโควิด วิกฤติการเงินในอดีต”
นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) กล่าวว่า กับดักสภาพคล่องคือ Liquidity Trap คือ ภาวะที่ระบบมี “สภาพคล่องล้น” หรือมีเงินในระบบมากเพียงพอ แต่เงินไม่หมุนเวียนต่อในระบบเศรษฐกิจ เพราะ ดีมานด์หายไปทั้งจากประชาชนหรือภาคธุรกิจ ซึ่งแม้มีเงินในมือแต่ไม่ใช้จ่ายหรือลงทุนต่อ ส่งผลให้เศรษฐกิจนิ่งเฉยหรือชะลอตัว
ทั้งนี้ ปัจจุบันสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจสามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มใหญ่ อยู่ในมือประชาชน และธุรกิจ เช่น เงินสด เงินฝากระยะสั้น หรือเงินใน wallet ต่างๆ สองอยู่ในตลาดเงิน และตลาดทุน เช่น การลงทุนในพันธบัตร หุ้น กองทุน ฯลฯ และสุดท้ายคือ ในระบบสถาบันการเงิน เช่น เงินฝากระยะยาวที่อยู่ในธนาคารพาณิชย์ และธนาคารของรัฐ
ปัจจุบัน สินทรัพย์สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ และธนาคารของรัฐรวมกันอยู่ที่ประมาณ 6.8 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ไทยมีอาการเกิด “กับดักสภาพคล่อง”
ดังนั้น ถามว่าวันนี้ไทยกำลังเข้าสู่กับดักสภาพคล่องหรือไม่ เขามองว่ามี “อาการ” กับดักสภาพคล่องปรากฏขึ้นจริงแม้สภาพคล่องระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ระดับสูง แต่ครัวเรือนมีแนวโน้มเก็บเงินมากขึ้น ออมมากขึ้น ใช้น้อยลง อีกทั้งมาจากความกังวลต่อเศรษฐกิจทำให้คนไม่กล้าใช้จ่ายหรือกู้เงิน ธนาคารระวังมากขึ้นเพราะเห็นความเสี่ยงเศรษฐกิจสูงขึ้น
รวมทั้งหากสถานการณ์นี้ยืดเยื้ออาจพัฒนาเป็นกับดักสภาพคล่องเต็มรูปแบบ ซึ่งแม้ลดดอกเบี้ยลงมากก็ไม่กระตุ้นการใช้จ่ายหรือการลงทุน โดยขณะนี้ยังไม่ใช่กับดักสภาพคล่องแบบเต็มรูปแบบ แต่เรากำลังเข้าใกล้มันมากขึ้นทุกที หากยังไม่มีมาตรการฟื้นดีมานด์ได้จริงจัง
ทั้งนี้หากถามว่า การลดดอกเบี้ยของ กนง. ช่วยหรือไม่ ลดดอกเบี้ย มีส่วนช่วย คลายความตึงตัวของเศรษฐกิจบ้าง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ที่จะทำให้เงินหมุนเวียนกลับมา ปัญหาอยู่ที่ “ดีมานด์” และ “การส่งผ่านสภาพคล่อง” จากธนาคารไปยังผู้กู้ ซึ่งยังไม่คล่องตัว หากเศรษฐกิจยังซบเซา การลดดอกเบี้ยก็อาจไม่เพียงพอ
เข้าสู่โหมด Wait & See
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า ในมุมของ “ธนาคารกสิกรไทย” มองว่า ท่ามกลาง “สงครามการค้าของทรัมป์” ทำให้เกิด Uncertainty หรือความไม่แน่นอนมากขึ้น โดยมองภาพไปในระยะข้างหน้าก็มีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงอย่างมาก
ดังนั้น สถานการณ์เหล่านี้ทำให้หลายประเทศ รวมถึงไทยตกอยู่บนความไม่แน่นอน และความเสี่ยงต่อเนื่อง ทำให้ขณะนี้ผลกระทบคือ คนไม่กล้าลงทุน เงินไม่หมุน การค้าขายการลงทุนก็ไม่มีความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตินี้ในมุมแบงก์ ก็ต้องใช้กลยุทธ์ wait & see ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง ทั้งการลงทุน และการปล่อยสินเชื่อ และหันหน้ามาช่วยลูกค้ามากขึ้น ให้คำปรึกษาลูกค้ามากขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า
ดังนั้น ในมุมแบงก์คงต้องชะลอการลงทุน ระวังปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ปล่อยสินเชื่อรอบคอบ ไม่เร่งปล่อยสินเชื่อ แต่เน้นบริหารความเสี่ยงรอบคอบขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับธนาคารทั้งระบบ
ทั้งนี้การระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเป็นสิ่งที่ธนาคารทำต่อเนื่องช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 1 อาจไม่ได้ดีนักหรือชะลอต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยยังไม่ปรับเป้าหมายทางการเงินลดลง
หนี้เสียกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นต่อเนื่อง
ส่วน “ธนาคารพาณิชย์” เปิดเผยตัวเลขหนี้เสียในระบบธนาคาร โดยรวมหนี้เสีย หรือ “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ระบุว่า ระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ยังอยู่ระดับสูงเพราะไม่ขาย NPL จากเงื่อนไข และราคาที่ยังไม่จูงใจ ประกอบกับโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่งผลให้ระดับ NPL เพิ่มขึ้นชั่วคราว
ขณะเดียวกันการเติบโตของสินเชื่ออยู่ระดับชะลอตัวทั้งธุรกิจ Gen 1 และ Gen 2 สะท้อนการปล่อยสินเชื่อที่เน้นระวังและการคัดเลือกอย่างรอบคอบ การขยายตัวของสินเชื่อส่วนใหญ่ของธนาคารมาจาก กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในส่วนธุรกิจ Gen การเติบโตมาจาก MONIX
“ทีทีบี” หรือธนาคารทหารไทยธนชาต ระบุว่า ด้วยกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวัง ส่งผลให้อัตราการเกิดหนี้เสียและการตกชั้นของสินเชื่อยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ควบคุม สำหรับช่วงถัดไป ธนาคารจะยังคงเน้นย้ำความรอบคอบและระมัดระวังในการบริหารจัดการและปรับโครงสร้างสินเชื่อ เพื่อจำกัดความเสี่ยงเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพของสถานะงบดุล
นอกจากนั้น ธนาคารยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการลดความเสี่ยงและแก้ปัญหาสินเชื่อที่มีคุณภาพอ่อนแอ เพื่อให้พอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพและรักษาสถานะของงบดุล โดยไตรมาสนี้ ธนาคาร และบริษัทย่อยตัดหนี้สูญ 4.1 พันล้านบาท ลดลงจาก 6.7 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 รวมถึงการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวนประมาณ 1.1 พันล้านบาท เทียบกับ 0.6 พันล้านบาท ในไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ หากดูสินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ที่ 2.75% เพิ่มขึ้นจาก 2.59% จากสิ้นปีก่อน 2.56 % โดยการเพิ่มขึ้นเป็นผลจากยอดการตัดหนี้สูญที่ลดลง และผลจากฐานสินเชื่อที่หดตัว อย่างไรก็ดี อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพยังคงอยู่ในเกณฑ์เป้าหมายที่ระดับไม่เกิน 2.9%
ธนาคารทิสโก้ ระบุว่าสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) มีจำนวน 5,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3 %จากสิ้นปี 2567 และคิดเป็นสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ที่ 2.42% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 2.35% ในปี 2567 ซึ่งเป็นไปตามแผนการเติบโตสินเชื่อในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนในระดับสูง ประกอบกับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง
ทั้งนี้ บริษัทยังคงดำเนินนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รวมถึงนโยบายการบริหารความเสี่ยงและการตั้งสำรองที่รัดกุม โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นรวมจำนวน 8,600 ล้านบาท
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







