มูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐ (ตอนที่ 4) | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

ครั้งที่แล้วผมเล่าถึงพัฒนาการของระบบการเงินของสหรัฐ ซึ่งมาถึงจุดสำคัญคือช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2488
ซึ่งในตอนนี้จะเล่าถึงความสำคัญของการก่อตั้งระบบการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลของการประชุมที่เมือง Bretton Woods ในเดือนกรกฎาคม 2487
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปี 2473-2483 นั้น ระบบการค้าและการเงินโลกต้องเผชิญกับความวุ่นวายและประสบความตกต่ำอย่างมาก สหรัฐปรับขึ้นภาษีศุลกากร
ทำให้ประเทศอื่นๆ ตอบโต้โดยการปรับขึ้นภาษีศุลกากรและกีดกันทางการค้าระหว่างกัน จนทำให้ปริมาณการค้าของโลกลดลงไปกว่า 65%
นอกจากนั้นก็ยังเกิดความปั่นป่วนจากการที่หลายประเทศยกเลิกการผูกค่าเงินกับทองคำ เพื่อลดค่าเงินของตัวเอง การแข่งขันกันลดค่าเงินของตัวเอง (competitive devaluation) ก็สร้างความปั่นป่วนให้กับระบบการเงินอย่างกว้างขวางเช่นกัน
ดังนั้น การประชุมที่ Bretton Woods จึงต้องออกแบบระบบการเงินระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ โดยต้องการให้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลต่างๆ ค่อนข้างคงที่ (fixed exchange rate)
แต่การผูกค่าเงินเอาไว้กับทองคำในช่วงก่อนหน้านั้น ไม่ประสบความสำเร็จ (ส่วนหนึ่งเพราะปริมาณทองคำในโลกมีจำนวนจำกัด) จึงต้องปรับเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่น
จึงเป็นโอกาสให้ผู้แทนของสหรัฐก็คือ นาย Harry Dexter White ผู้ช่วยรัฐมนตรีคลังด้านเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศ ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้ที่ประชุมที่ Bretton Woods เห็นชอบให้เงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินสกุลหลักของโลก เพื่อทดแทนบทบาทของเงินปอนด์ของอังกฤษอย่างเป็นทางการ
โครงสร้างของระบบการเงินระหว่างประเทศที่ถูกออกแบบและตกลงกันได้ในปี 2487 และนำมาใช้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นลงในปี 2488 มีลักษณะสำคัญดังนี้
1.ให้ทุกประเทศกำหนดค่าเงินของตัวเองเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เงินเหรียญสหรัฐจะถูกกำหนดให้มีอัตราแลกเปลี่ยนกับทองคำเท่ากับ 35 เหรียญสหรัฐต่อทองคำน้ำหนัก 1 Troy Ounce
2.ทุกๆ ประเทศจะต้องฝากเงินเอาไว้กับไอเอ็มเอฟ ทั้งในรูปของเงินสำรองระหว่างประเทศของประเทศนั้น และเงินสกุลของประเทศนั้นเอง เงินฝากดังกล่าวนั้น ประเทศสมาชิกไอเอ็มเอฟจะสามารถถอนออกมาใช้ในรูปแบบของเงินสกุลของประเทศอื่นใดได้
และจะสามารถกู้ยืมเงินเพิ่มเติมจากไอเอ็มเอฟได้ หากมีความจำเป็นเกิดขึ้นเช่น ขาดแคลนเงินตราระหว่างประเทศชั่วคราว จากปัญหาการขาดดุลการค้าในระยะสั้น
กล่าวคือไอเอ็มเอฟจะเป็นเสมือนกับสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้กับประเทศที่ประสบปัญหาสภาพคล่องในระยะสั้น
3.การลดค่าเงินของประเทศสมาชิกนั้น สามารถทำได้เฉพาะในกรณีที่เผชิญกับการขาดความสมดุลที่เป็นภาวะพื้นฐาน (fundamental disequilibrium) ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากไอเอ็มเอฟ
จะเห็นได้ว่า ระบบการเงินระหว่างประเทศที่สหรัฐเป็นแกนนำออกแบบขึ้นมานั้น เป็นระบบที่เงินเหรียญสหรัฐถูกยกฐานะขึ้นมาให้เป็นเงินสกุลหลักของโลก และประเทศต่างๆ ได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ระหว่างกัน
เพื่อลดความเสี่ยงในการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ หากจะต้องลดค่าเงิน ก็จะต้องเกิดขึ้นเมื่อมีความจำเป็นในเชิงของความไม่สมดุลขั้นพื้นฐานเท่านั้น
หลายคนจะรับรู้ไปนานแล้วว่า ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ของ Bretton Woods ล่มสลายลงไปนานแล้วเมื่อ 15 สิงหาคม 2514
ซึ่งเป็นวันที่ประธานาธิบดีนิกสันของสหรัฐประกาศยกเลิกพันธะที่จะให้แลกเงินเหรียญสหรัฐเป็นทองคำ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 35 เหรียญต่อทองคำ 1 ออนซ์
และจากวันนั้นเป็นต้นมา อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลต่างๆ ก็เปลี่ยนไปจากระบบที่เน้นความคงที่มาเป็นระบบที่ “ลอยตัว” (floating exchange rates) หรือมีความยืดหยุ่นดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เห็นว่า การจะมาเป็นเงินสกุลหลักของโลกนั้น เงินเหรียญสหรัฐจะต้องได้รับการผลักดันและจะต้องมีหลักการ ตลอดจนมีปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เงินเหรียญสหรัฐมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้สามารถผงาดขึ้นมาเป็นเงินสกุลหลักของโลก ดังนี้
1.แน่นอนว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจสหรัฐเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุดในโลก รวมทั้งการมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุด ตลอดจนอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย
2.ในปี 2488 สหรัฐมีทองคำสำรองประมาณ 20,000 ตัน หากคำนวณราคาที่ 35 เหรียญต่อ 1 ออนซ์ ก็จะมีมูลค่าในตอนนั้นประมาณ 22,500 ล้านเหรียญ ในขณะที่ต่างชาติทั่วโลกถือเงินเหรียญสหรัฐมีมูลค่ารวมทั้งหมดประมาณ 7,000 ล้านเหรียญ
นอกจากนั้นหลายๆประเทศก็ยังเป็นหนี้ (สงคราม) สหรัฐมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ ทำให้ไม่มีประเทศใดคัดค้านการเป็นเงินสกุลหลักของโลก ตรงกันข้ามทุกประเทศขาดแคลนเงินเหรียญสหรัฐ และเป็นที่ยอมรับว่าเงินเหรียญสหรัฐนั้น “as good as gold” เพราะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในปี 2488
ภาวะที่โลกขาดแคลนเงินเหรียญสหรัฐนั้น ทำให้สหรัฐอยู่ในสถานะของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เพราะการที่เงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินสกุลหลักของโลกนั้น ทำให้สหรัฐมีสิทธิพิเศษที่เกินควร (exorbitant privilege)
กล่าวคือสามารถใช้จ่ายเกินตัวได้เพราะสามารถพิมพ์ “กระดาษ” ออกมาซื้อสินค้าและบริการได้ทั่วโลก ซึ่งในช่วงปี 2488-2514 สหรัฐก็ทำเช่นนั้น จนกระทั่งปริมาณเงินดอลลาร์ท่วมโลก ทำให้ต้องยกเลิกการแลกเปลี่ยนเงินเหรียญสหรัฐให้เป็นทองคำที่ 35 เหรียญต่อ 1 ออนซ์ในปี 2514
อันที่จริงความกังวลว่าสหรัฐจะเริ่ม “ถังแตก” นั้นมีมาตั้งแต่ปี 2498-2501 และต่อมาในปี 2503 ก็เป็นที่ทราบกันว่า ทองคำสำรองทั้งหมดของสหรัฐนั้นมีมูลค่าเพียง 40% ของปริมาณเงินเหรียญสหรัฐทั้งหมดที่อยู่ในมือของต่างชาติ
และในปี 2508 ประเทศฝรั่งเศสได้เริ่มนำเอาเงินเหรียญสหรัฐที่สำรองเอาไว้ออกมาขายแลกเป็นทองคำ จึงรับรู้กันมาก่อนหน้าแล้วหลายปีว่า ระบบ Bretton Woods จะไม่สามารถเดินต่อไปได้







