‘เศรษฐกิจไทย’ ที่แวดล้อมด้วย ‘สถานการณ์เลวร้าย’ ยากฟื้นตัว

‘สมประวิณ‘ ชี้เศรษฐกิจไทยอยู่ท่ามกลาง‘สถานการณ์เลวร้าย’ ที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น ผนวกกับ‘ความไม่แน่นอน‘ ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
'ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ' นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของไทย เปิดบทวิเคราะห์
'เศรษฐกิจไทย ที่แวดล้อมด้วย ‘สถานการณ์เลวร้าย’
‘ความไม่แน่นอน‘ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตาม ‘สถานการณ์เลวร้าย’ ที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นดัชนี World Uncertainty Index ชี้ว่าความไม่แน่นอนของโลกเพิ่มสูงขึ้นจากสงคราม ภัยธรรมชาติและโรคระบาด
ในทางเศรษฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อการบริโภค โดยจูงใจให้ผู้บริโภคออมเงินและใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
โดย Greasley Madsen and Oxley (2001) ศึกษาข้อมูลการบริโภคจากประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปี1930-1931 พบว่าความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจและดัชนีราคาหลักทรัพย์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความต้องการซื้อลดลงทั้งสินค้าคงทนและไม่คงทน
ความไม่แน่นอนยังส่งผลให้ธุรกิจชะลอการลงทุน เพราะส่งผลให้ธุรกิจลังเลที่จะลงทุนกับเครื่องจักรหรือสิ่งปลูกสร้างที่ยกเลิกได้ยาก
Bloom Bond and Reenen (2006) พบว่าธุรกิจในสหราชอาณาจักรชะลอการลงทุนใหม่และการถอนการลงทุนเดิมหากเผชิญกับความไม่แน่นอน
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ทิศทางนโยบายเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น เนื่องจากผู้ดำเนินนโยบายจำเป็นต้องปรับนโยบายตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดการณ์และประเมินความเสี่ยงได้ยาก
ไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เลวร้าย ‘มากกว่า’และ ‘นานกว่า’ ประเทศอื่น
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายคล้ายคลึงกับประเทศอื่น แต่เรา ‘ได้รับผลกระทบมากกว่า’ และ ‘ฟื้นตัวได้ช้ากว่า’ ประเทศอื่น การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
โดยเศรษฐกิจไทยหดตัว -6.1% ในปี 2020 และฟื้นตัวกลับขึ้นมาเพียง 1.6% และ 2.5% ในปี 2021 และ 2022ตามลำดับ เทียบกับมาเลเซีย (2020: -5.5%, 2021: 3.3%, 2022: 8.9%) หรือเวียดนาม (2020: 2.9%, 2021: 2.5%, 2022: 8.1%)
สาเหตุที่ไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19มากกว่าและนานกว่าประเทศอื่น
ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาแรงส่งจากต่างประเทศ การระบาดส่งผลให้การค้าและการเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงัก ทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวไทยหดตัวรายได้จากการส่งออกและท่องเที่ยวที่ลดลงส่งผลต่อกำลังซื้อของคนไทยและความต้องการซื้อสินค้าและบริการภายในประเทศ
รูปที่ 2 แสดงมูลค่า GDP ที่เศรษฐกิจไทยจะสูญเสียไปหากความต้องการซื้อจากเศรษฐกิจคู่ค้าลดลง 1%
โดยคำนึงถึงการส่งผ่านผลกระทบบนห่วงโซ่อุปทานร่วมด้วย จะเห็นได้ว่าในปี 2015หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว -1% จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวตาม -0.2% เพิ่มขึ้นจากปี 2005 เกือบ 3เท่า การส่งผ่านผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นก็มีน้ำหนักมากเช่นกัน
รูปที่ 2 GDP ที่ไทยจะสูญเสียไป หาก GDP ของประเทศคู่ค้าหดตัวลง 1%
มองไปข้างหน้า โอกาสเกิดสถานการณ์เลวร้ายมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สถานการณ์เลวร้ายมักอยู่เหนือการคาดการณ์ ผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัวรับความท้าทายจากสถานการณ์เลวร้ายอย่างยืดหยุ่นและทันท่วงที กลยุทธ์ 3 ประการในการรับมือกับความไม่แน่นอนและสถานการณ์เลวร้ายดังนี้
1. เข้าใจธรรมชาติของความไม่แน่นอนเพื่อคาดการณ์ล่วงหน้า - ช่วยให้ผู้ดำเนินนโยบายสามารถจำแนกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ครบถ้วน และเข้าใจกลไกที่สถานการณ์เลวร้ายส่งผ่านผลกระทบ จึงสามารถออกแบบมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์เลวร้ายทุกรูปแบบ และสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที
2. ออกแบบนโยบายเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น - โดยจัดลำดับความสำคัญของมาตรการทางเศรษฐกิจ วางกรอบการดำเนินนโยบายอย่างเป็นระบบ และตัดลดมาตรการที่ไม่มีประสิทธิภาพและเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารทรัพยากรโดยเฉพาะในยามวิกฤต
3. โยกย้ายทรัพยากรมาลงทุน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน - เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีดิจิทัล และการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อเพิ่มผลิตภาพของแรงงานทั้งนี้ ผู้ดำเนินนโยบายควรเริ่มดำเนินการตั้งแต่วิกฤตเริ่มก่อตัว จึงจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้พร้อมใช้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยออกตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่นในยามฟื้นตัว
เศรษฐกิจจะเติบโตได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ผู้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจต้องเข้าใจธรรมชาติของความไม่แน่นอน เข้าใจกลไกการเกิดดับของสถานการณ์เลวร้าย สามารถโยกย้ายทรัพยากรทางเศรษฐกิจเพื่อบริหารการเติบโตและความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น
“It’s not uncertainty as such that bothers us, but unknowledge.”
Peter Bernstein นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและการเงิน







