รู้หรือไม่! ผลิต 'เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์' ขาย ก็มีภาษีที่ต้องเสีย

รู้หรือไม่ว่าน้ำดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะแค่ผลิตส่งขาย หรือเปิดร้านลักษณะเป็นคาเฟ่ ร้านนมปั่น ชานม จนถึงการทำแบรนด์ของตนเอง ล้วนต้องเสียภาษีสรรพสามิตด้วย
เพราะ "น้ำ" มีความสำคัญกับชีวิตมนุษย์ ทุกคนต้องใช้น้ำในการดื่ม อาบ ชำระล้างต่างๆ โดยเฉพาะคนเราไม่สามารถทนต่อภาวะขาดน้ำได้เกิน 7 วัน ดังนั้น จึงมีผู้ประกอบการจำนวนมากเลือกผลิตน้ำออกมาหลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภค ทั้งแบบที่มีแอลกอฮอล์และไม่มี น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
และจากความคุ้นเคยเรื่องน้ำดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะต้องเสียภาษีสรรพาสามิต แล้วรู้หรือไม่ว่าน้ำดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่ น้ำดื่มเพื่อสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะทำมาในรูปแบบบริษัทผลิตเครื่องดื่มวางจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ หรือเปิดร้านลักษณะเป็นคาเฟ่ ร้านนมปั่น ชานม พร้อมกับมีน้ำดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ภายใต้แบรนด์ของตนเองวางขายในร้านด้วย ก็ต้องเสียภาษีสรรพสามิตเหมือนกัน แถมยังมีภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ไปติดตาม...
ผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์กับภาษีสรรพาสามิต
ในกรณีที่เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่ม ต้องการผลิตทั้งน้ำดื่ม กาแฟ ชา เพื่อให้มีผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำทุกชนิดอยู่ในแบรนด์และบรรจุภัณฑ์ของตนเอง จะมีภาษีสรรพสามิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตามพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
กรมสรรพสามิต ได้ให้ความหมายของคำว่า “เครื่องดื่ม” ว่า สิ่งที่ตามปกติใช้เป็นเครื่องดื่มได้โดยไม่ต้องเจือปนและไม่มีแอลกอฮอล์ โดยจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม บรรจุในภาชนะและผนึกไว้ ซึ่งก่อนที่จะทำการผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม เจ้าของกิจการจะต้องดำเนินการดังนี้
1.จดทะเบียนพาณิชย์ ภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มผลิตหรือจำหน่าย
2.ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจากกรมสรรพากร ตามขนาดและประเภทธุรกิจ เพื่อใช้ในการยื่นแบบ แสดงรายการภาษีเงินได้ การชำระภาษี การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย การติดต่อราชการกับกรมสรรพากร รวมทั้งการจัดทำเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ซึ่งเอกสารเหล่านี้มีผลต่อภาษีเครื่องดื่มทั้งนั้น
3.จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อรายได้จาการขายเครื่องดื่มเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
4.ขออนุญาตตั้งสถานที่ผลิตเครื่องดื่มจากหน่วยราชการท้องถิ่น โดยถ้าหากสถานที่ในการผลิตเป็นอาคารหรือโรงงาน เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างด้วย (กรณีเช่าต้องทำการตกลงกันกับผู้ให้เช่าว่าใครจะเป็นผู้เสียภาษีนี้)
5.ให้แจ้งวันทำการผลิตและราคาขายต่ออธิบดีกรมสรรพสามิต โดยยื่นกับสำนักงานสรรพสามิตที่ใกล้กับพื้นที่ขาย และแจ้งราคาขายไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันเริ่ม รวมทั้งจดแจ้งฉลาก และจัดทำบัญชีเพื่อใช้ประกอบการเสียภาษีสรรพสามิตด้วย
6.ต้องจัดทำรายงานภาษี ซึ่งประกอบด้วย รายงานภาษีซื้อ รายงานสินค้าและวัตถุดิบ ซึ่งสามารถใช้บริการทำบัญชีจากสำนักงานที่มีความน่าเชื่อถือได้ ก่อนยื่นต่อกรมสรรพสามิต เพื่อให้ตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนนำสินค้าออกวางจำหน่าย
การขอใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหาร
ก่อนดำเนินการผลิตเครื่องดื่มต่างๆ เจ้าของธุรกิจต้องขออนุญาตตั้งสถานที่ผลิตเครื่องดื่ม โดยการขอใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการแจ้งจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหาร หรือสถานที่สะสมอาหาร ซึ่งสามารถดำเนินกิจการได้ทันทีหลังจากยื่นคำขอตามแบบฟอร์มที่กฎหมายกำหนด ดังนี้
1.เอกสารที่ต้องใช้
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับใบอนุญาตหรือผู้แจ้ง
- สำเนาทะเบียนบ้านของบ้านที่ใช้เป็นที่ตั้งสถานประกอบการ
- สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้แทนนิติบุคคล (กรณีผู้ขอรับใบอนุญาตหรือผู้แจ้งเป็นนิติบุคคล)
- หนังสือยินยอมให้ใช้อาคารหรือสำเนาหนังสือเช่าจากเจ้าของอาคาร
- หนังสือมอบอำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ (กรณีผู้ประกอบการไม่สามารถมายื่นคำขอด้วยตนเอง)
- ผลการตรวจสุขภาพหรือใบรับรองแพทย์ของพนักงานผู้สัมผัสอาหาร
- สำเนาใบวุฒิบัตรผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรการสุขาภิบาลอาหารของกรุงเทพมหานคร (ถ้ามี)
- แผนที่สังเขปแสดงสถานที่ตั้งสถานประกอบการ
- ใบอนุญาตจากส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
2.ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร
- พื้นที่ประกอบการไม่เกิน 300 ตารางเมตร ฉบับละ 2,000 บาท
- พื้นที่ประกอบการเกิน 300 ตารางเมตร คิดเพิ่มตารางเมตรละ 5 บาท โดยให้คิดพื้นที่เป็นจำนวนเต็มปัดเศษทิ้งแต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 3,000 บาท
3.ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรองการแจ้งจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหาร และสถานที่สะสมอาหาร และค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินกิจการรายปี
- พื้นที่ประกอบการไม่เกิน 10 ตารางเมตร ฉบับละ 100 บาท
- พื้นที่ประกอบการเกิน 10 ตารางเมตร คิดเพิ่มตารางเมตรละ 5 บาท โดยให้คิดพื้นที่เป็นจำนวนเต็มปัดเศษทิ้ง แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 1,000 บาท
ผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จำหน่าย ต้องการจดทะเบียนพาณิชย์
นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจผลิตเครื่องดื่ม ต้องทำการจดทะเบียนพาณิชย์ ซึ่งขั้นตอนและเอกสารสำหรับจดทะเบียนพาณิชย์ประกอบด้วย
1.เตรียมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของเจ้าของธุรกิจ
2.เตรียมแบบคำขอจะทะเบียนพาณิชย์ แบบ ทพ.
3.แผนที่แสดงสถานที่ตั้งร้าน
4.หากเป็นนิติบุคคลให้เตรียมหนังสือรับรองบริษัท
5.เตรียมเงินจำนวน 50 บาท
6.หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ หรือสัญญาเช่า (กรณีเจ้าของธุรกิจไม่ใช่เจ้าของสถานที่)
7.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของเจ้าของกรรมสิทธิ์ (กรณีเจ้าของธุรกิจไม่ใช่เจ้าของสถานที่)
8.สำเนาหนังสืออนุญาต หรือหนังสือรับรองให้เป็นผู้จำหน่ายจากเจ้าของลิขสิทธิ์ (เฉพาะธุรกิจขาย ให้เช่า ผลิต หรือรับจ้างผลิต แผ่นซีดี แถบบันทึก วีดิทัศน์ แผ่นวีดิทัศน์ ดีวีดี หรือแผ่นวีดิทัศน์ระบบดิจิตอลเฉพาะที่เกี่ยวกับบันเทิง)
9.หลักฐานแสดงจำนวนเงินทุน ยกเว้นนิติบุคคล (เฉพาะธุรกิจขายอัญมณี หรือเครื่องประดับที่ประดับด้วยอัญมณี)
โดยสามารถยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่ สำนักงานเขต สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักการคลัง เทศบาล อบต. ที่ธุรกิจของผู้ประกอบการตั้งอยู่เท่านั้น
สรุป...ภาษีที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จำหน่าย
เมื่อมาถึงตรงนี้อาจสรุปได้ว่า แม้จะเลือกผลิตน้ำดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพื่อไม่ต้องเสียภาษีนั้น ไม่เป็นความจริง นอกจากจะเสียภาษีสรรพาสามิตเหมือนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้ว ยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ภาษีเงินได้ ภาษี หัก ณ ที่จ่าย และต้องจดทะเบียนพาณิชย์อีกด้วย
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting







