ราคาทองคำฟื้นตัว จากความหวังลดดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจสหรัฐติดลบ

ราคาทองคำฟื้นตัว จากความหวังลดดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจสหรัฐติดลบ

ราคาทองคำโลกฟื้นตัวขึ้น จากความหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน หลังจากข้อมูลชี้เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ จีดีพีติดลบ 0.3% ในไตรมาสแรกของปีนี้

รอยเตอร์  รายงานภาวะตลาดทองคำโลกวันพุธ (30 เม.ย.) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย ราคาทองคำฟื้นขึ้นในวันพุธหลังจากร่วงลงแรง  เนื่องจากการคาดการณ์ว่า มีโอกาสมากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ย หลังจากการเติบโตในไตรมาสแรกของสหรัฐที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้

ราคาทองคำตลาดสปอต (Spot Gold) ลดลง 0.2% อยู่ที่ 3,308.32 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 13.58 น. ตามเวลานิวยอร์ก (17.58 GMT) หลังราคาทองคำแท่งร่วงลงกว่า 1% ในช่วงต้นของเซสชั่นการซื้อขาย

ราคาทองคำอยู่ในแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 6% ในเดือนเมษายน

ราคาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐ (Gold Futures) ลดลง 0.4% อยู่ที่ 3,319.10 ดอลลาร์

ราคาทองเช้าพฤหัสบดีนี้

บลูมเบิร์กรายงานราคาทองคำในตลาดสิงคโปร์ปรับลดลง 0.5% อยู่ที่ 3,273.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 8.05 น. ตามเวลาในในสิงคโปร์ ดอลลาร์แข็งค่า โดยดัชนี Bloomberg Dollar Spot ขยับขึ้นเล็กน้อย 

คาดทองยังอยู่ในขาขื้น

"ทองคำยังคงอยู่ในภาวะตลาดกระทิงอย่างมั่นใจ และข้อมูลในวันนี้ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางที่เป็นไปได้มาก ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟด ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อทองคำ" ไท หว่อง ผู้ค้าโลหะอิสระกล่าวกับรอยเตอร์ พร้อมเสริมว่าทองคำอาจเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากการพุ่งขึ้นสูงมากเมื่อเร็วๆ นี้ที่ระดับ 3,500 ดอลลาร์

ผู้ค้าคาดการณ์ในวันพุธว่า เศรษฐกิจที่ถดถอยส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่จะทำให้เฟดกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งในที่สุดแล้วจะลด 1 % เต็มภายในสิ้นปีนี้ 

เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.3% จากการเร่งนำเข้า

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐหดตัว 0.3% ในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากธุรกิจต่างรีบนำเข้าสินค้าก่อนที่จะมีการจัดเก็บภาษีศุลกากรจากรัฐบาลทรัมป์

ทองคำแท่งซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ถือเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากความวุ่นวายทางการเมืองและการเงิน ราคามักขึ้นสูงในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยครั้งล่าสุดที่ราคาพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,500.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน

ขณะเดียวกัน ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนมีนาคม หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ PCE  สำหรับรายไตรมาสไม่รวมส่วนประกอบอาหารและพลังงานที่ผันผวนพุ่งขึ้น 3.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากอัตรา 2.6% ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม

“จนถึงขณะนี้ทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากPCE พื้นฐานที่แตะระดับต่ำสุดใน นับตั้งแต่เกิดโรคระบาด แต่ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรกหลังข่าวการหดตัวอย่างไม่คาดคิดของ GDP ของสหรัฐฯ” หว่อง กล่าว

ขณะนี้ นักลงทุนกำลังรอข้อมูลการจ้างงานที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็คือรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนในวันศุกร์ ซึ่งอาจช่วยชี้แจงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ในตลาดอื่นๆ ของจีนจะปิดทำการระหว่างวันที่ 1-5 พฤษภาคม เนื่องในวันแรงงาน

ด้านราคาโลหะเงินลดลง 1% เหลือ 32.64 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แพลตตินัมลดลง 1.2% เหลือ 965.30 ดอลลาร์ และแพลเลเดียมเพิ่มขึ้น 0.3% เหลือ 937.75 ดอลลาร์