ลุ้น หุ้นจีน ฝ่าสงครามการค้าทรัมป์2.0 กูรูแนะจังหวะลงทุนรอบใหม่

ลุ้น หุ้นจีน ฝ่าสงครามการค้าทรัมป์2.0 กูรูแนะจังหวะลงทุนรอบใหม่

สถานการณ์ตลาดการลงทุนทั่วโลก ถูกปกคุมด้วยความผันผวน จากความกังวล “สงครามการค้า” เกิดจากการเก็บภาษีทรัมป์และมาตรการภาษีตอบโต้ ที่เลี่ยนปแปลงรายวันโดยเฉพาะกับจีน

โดยการเจรจาภาษีระหว่างทรัมป์และจีน ล่าสุดคงเป็นประเด็นร้อนแรง ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณเปิดกว้างสำหรับการเจรจาเพิ่มเติมกับจีน หลังจากที่มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 125% และขึ้นเป็น 145% ในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าอเมริกันเป็น 84%

ทั้งนี้ “ทรัมป์” ยังระบุว่าเขาชื่นชมประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และเชื่อว่าทั้งสองประเทศจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ในที่สุดสงครามการค้าสหรัฐกับจีน คลี่คลายลง แต่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่ไม่แน่นอนของ “ทรัมป์​" เป็นหลัก

ลุ้น หุ้นจีน ฝ่าสงครามการค้าทรัมป์2.0 กูรูแนะจังหวะลงทุนรอบใหม่

ดังนั้น สงครามการค้าเวอร์ชั่น ทรัมป์ 2.0 ยังดำเนินต่อไประหว่างยักษ์ใหญ่ทั้ง 2 ประเทศอย่างสหรัฐและจีนซึ่งนักลงทุนในตลาดโลกเคยประเมินว่าจีนจะเป็นผู้บาดเจ็บจากสงครามในครั้งนี้ ทำให้แนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นจีนยังน่าสนใจอยู่หรือไม่ นักลงทุนควรปรับพอร์ตรับความไม่แน่นอนครั้งนี้อย่างไร

“วิศกรณ์ คีรีวรรณ” นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ด้านเซนติเมนต์ตลาดหุ้นในปัจจุบัน พบว่า S&P 500 YTD Return ณ วันที่ 17 เม.ย. 2568 มีการปรับตัวลดลงราว -10.18% ขณะที่หุ้นจีนนั้นพบว่า CSI 300 ( A-share) -5.63% และ HSCEI (H-share) +8.27% สวนทางกับความเชื่อดังกล่าวข้างต้น

สาเหตุหลักมาจาก 2 ประเด็น คือ 1.ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของกำไรตลาดหุ้นจีน โดยรวมนับตั้งแต่ปี 2562 นั้น ไม่ได้พึ่งพาการส่งออกอย่างที่เคย 2.รัฐบาลจีนทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านการบริโภคออกมาเป็นระยะๆ ทำให้เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงน้อยลงตามลำดับ

ฉะนั้น ในระยะสั้นคาดนักลงทุนในตลาดโลกจะยังคงมีความกังวลด้านการเติบโตของเศรษฐกิจจีนโดยรวมหลังการขึ้นภาษีตอบโต้กันระหว่าง 2 ประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงขึ้นและตามมาด้วยการทยอยปรับลดประมาณการ GDP และกำไรตลาดในระยะสั้น

จับตาประชุม Politburo ต้นพ.ค.มีแผนกระตุ้นศก. มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนรอบใหม่

เราประเมินว่าหลังจากการปรับประมาณการ GDP 2568- 2569 ของจีนสิ้นสุดลง ตลาดหุ้นจีนจะเริ่มกลับเข้ามาน่าสนใจอีกครั้ง หลังดัชนี CSI 300 และ HSCEI กลับลงมาซื้อขายในกรอบ FWD P/E 5ปี ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต โดยเรามองช่วงปลายเดือนเม.ย. - ต้นเดือนพ.ค. หากการประชุม Politburo ออกมามีแผนมาตรการการกระตุ้นบริโภคจะเป็นสัญญาณการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีนรอบใหม่อีกครั้ง

“วิศกรณ์” กล่าวต่อว่า สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอยู่แล้วให้ติดตามผลการประชุมดังกล่าว สำหรับคนที่ยังไม่เคยลงทุน เราแนะนำให้ลงทุนกองทุนหุ้นจีนผ่านกองทุน K-CHINA-A(A) ซึ่งมีกองทุนหลักเป็น JPMorgan Funds-China Fund, Class JPM China I (acc) และเป็นกองทุนหุ้นจีน All-Share ที่มีการลงทุนทั้ง H-share และ A-share และมีการถือครองหุ้นสัดส่วนหลักในกลุ่มการบริโภคในประเทศเป็นหลักทำให้ได้รับผลของนโยบายของรัฐบาลจีนในอนาคตที่สูง

“เรามองการลงทุนในหุ้นจีนหลังการประชุม Politburo ชัดเจนเป็น Satellite port ในระยะอีก 12 เดือนข้างหน้าด้วยสัดส่วนไม่เกิน 10% ของ พอร์ต”

มูลค่าหุ้นจีน ยังน่าสนใจ -สร้างรีเทิร์นสูงขึ้น

“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ กล่าวว่า ภาพการลงทุนนับจากนี้ไปเราจะยังคงเห็นความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลกโดยระยะเวลาและความรุนแรงของภาวะขาลงนี้จะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของสงครามการค้านับจากนี้เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตามยังคาดว่าสหรัฐ และจีนจะยังคงเป็นสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกและการขยับตัวของยักษ์ใหญ่ทั้ง 2 ประเทศ ย่อมสะเทือนไปยังประเทศต่างๆ ไม่มากก็น้อย โอกาสในช่วงขาลงมีอยู่เสมอสำหรับมุมมองของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) และนี่ถือเป็นโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ที่มีคุณภาพในราคาที่ต่ำลง ดังนั้นนักลงทุนควรมองหาบริษัทที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวและเติบโตได้ในระยะยาว

“ก่อนหน้านี้นักลงทุนมองว่าดัชนี S&P 500 มีราคาแพงไปแล้ว แต่การปรับตัวลดลงล่าสุด ทำให้ราคาหุ้นมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น แม้ว่าอาจจะยังไม่ได้ถูกที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ตาม แต่หากถามหาตลาดที่มีมูลค่าหุ้นถูกและน่าสนใจอยู่ในเวลานี้ ก็ยังต้องยกให้จีนที่ในปัจจุบันราคาหุ้นถือว่าน่าสนใจมาก”

โดยเลือกสินทรัยพ์ลงทุนที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น อย่าง หุ้นจีนที่ถือว่ามูลค่าหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจข้อมูล Market Prediction ซึ่งเป็น AI ของ Jitta Wealthพบว่า ปัจจุบันในบรรดาหุ้นคุณภาพของจีน มีจำนวนหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพงเยอะมากถึง 47-48 ตัว จากหุ้นคุณภาพระดับท็อป 50 ตัว คือ ถ้าเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มนี้ มีโอกาสสูงที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดนั้น ยังคงแนะนำการจัดพอร์ตแบบCore-Satellite Portfolioโดยรักษาสัดส่วนของพอร์ตหลักหรือ Core Port ไว้ที่ 80% เน้นการกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ทั่วโลก เช่นนโยบาย Global ETFและมีสัดส่วนของพอร์ตรองหรือ Satellite Port ไว้ที่ 20%

และหากนักลงทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีอยู่แล้ว สามารถใช้กลยุทธ์ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging-DCA)​ ก็จะช่วยให้พอร์ตลงทุนมีการถัวเฉลี่ยต้นทุนในช่วงที่ตลาดปรับลดลง และสามารถฝ่าช่วงเวลาที่ผันผวนไปได้ และสร้างผลตอบแทนที่มีเสถียรภาพในระยะยาว