สร้างรายได้ง่ายๆ ด้วยตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ แต่! อย่าลืมเสียภาษี

ทำธุรกิจจำหน่ายสินค้าผ่านตู้อัตโนมัติ สุดบูม! เพราะสะดวกสบายไม่ต้องลงมาขายเอง ประหยัดเวลา ไม่ต้องลงทุนสูง แต่ก็ต้องยื่นภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วย
ช่วงนี้ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็มักจะเห็นตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติตั้งอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ทั้งในห้างสรรพสินค้า ถนนเล็ก ถนนใหญ่ ตรอกซอกซอยในแหล่งชุมชน และแน่นอนว่าเหมือนมีแรงดึงดูดที่ทำให้ต้องขอเข้าไปดูว่ามีอะไรจำหน่ายบ้าง สุดท้ายก็กดซื้อสินค้าในตู้มาเพียบ
จึงไม่แปลกใจที่อาชีพจำหน่ายสินค้าผ่านตู้อัตโนมัติ จะกำลังฮิตในกลุ่มมือใหม่หัดทำธุรกิจขณะนี้ และธุรกิจผลิตตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติขายก็บูมตามไปด้วย เพราะสะดวกสบายไม่ต้องลงมาขายเอง ประหยัดเวลา ไม่ต้องลงทุนสูงเพราะสามารถเช่าตู้ทดลองวางจำหน่ายได้ แถมมีสินค้าให้เลือกวางในตู้หลากหลายประเภท
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรายได้ไม่ว่าจะจากการขายสินค้าผ่านตู้จำหน่ายอัตโนมัติ หรือผู้ผลิตตู้จำหน่ายเองก็ตาม จะต้องนำรายได้นั้นมายื่นภาษีให้ถูกต้องตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย โดยจำแนกประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับรายได้จากตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติไว้ได้ดังนี้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ธุรกิจจำหน่ายสินค้าผ่านตู้กดอัตโนมัติ และผู้ผลิตตู้กดสินค้าอัตโนมัติขาย หากทำในนามบุคคลธรรมดา จัดอยู่ในกลุ่มเงินได้พึงประเมิน 40(8) หรือมาตรา 40(8) มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 (ภาษีปลายปี) และแบบ ภ.ง.ด.94 (ภาษีกลางปี)
โดยคำนวณจากรายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเจ้าของธุรกิจสามารถหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่นค่าซื้อตู้ ค่าเช่าตู้ ค่าซ่อมบำรุง ค่าสินค้า ค่าบริการ และค่าไฟฟ้าที่ใช้กับตู้ เพื่อใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ธุรกิจจำหน่ายสินค้าผ่านตู้กดอัตโนมัติ และผู้ผลิตตู้กดสินค้าอัตโนมัติขายที่ทำในนามนิติบุคคล ต้องมีการบันทึกรายรับลงบัญชีอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเงินสด โอน หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยต้องนำรายได้และค่าใช้จ่ายมาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา พร้อมกับยื่นภาษี 2 ช่วง คือ
- รอบครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) สำหรับโดยต้องยื่นและชำระภาษีภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของ 6 เดือน แรกของรอบระยะเวลาบัญชี
- รอบสิ้นปี (ภ.ง.ด.50) โดยต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
เจ้าของธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าผ่านตู้กดอัตโนมัติ และผู้ผลิตตู้กดสินค้าอัตโนมัติขาย จะมีความเกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เมื่อมีผลประกอบการ (รายได้) เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องไปขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันหลังจากที่รายได้เกิน 1.8 ล้านบาท
โดยรวมถึงการขายสินค้าผ่านตู้จำหน่ายอัตโนมัติที่ชำระเงินด้วยวิธีต่างๆ ก็ถือเป็นรายได้ของผู้ประกอบธุรกิจ เมื่อมีการนำเงินออกจากเครื่องต้องเสียภาษีมูลคาเพิ่ม พร้อมกับออกใบกำกับภาษีอย่างย่อด้วย
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหักเงินภาษีไว้บางส่วนของผู้จ่ายเงิน เมื่อได้ทำการจ่ายเงินค่าบริการตามประเภทการจ่ายเงินที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในกรณีที่เจ้าของธุรกิจในนามนิติบุคคลจำหน่ายสินค้าผ่านตู้กดอัตโนมัติ หรือเป็นผู้ผลิตตู้กดสินค้าอัตโนมัติจำหน่าย เมื่อมีการใช้บริการตามประเภทรายจ่ายที่จ่ายไปจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ และส่งให้สรรพากรภายในวันที่ 7 ของทุกเดือน เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าเช่าตู้ เป็นต้น
ดังนั้น การหักภาษี ณ ที่จ่ายในกรณีของตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ จะมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของธุรกิจเมื่อต้องจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการให้แก่บุคคลภายนอกตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร
สรุป...ภาษีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีรายได้จากตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ
สำหรับใครที่กำลังจะตัดสินใจเช่าหรือซื้อตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ เพื่อยึดเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก อย่าลืมเช็กลิสต์ภาษีที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนก่อน อย่างเช่นหากมีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร และมีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้ตามประเภทธุรกิจของตนเอง หากทำในนามบุคคลธรรมดาให้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ถ้าจดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล ให้ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อมีการจ่ายค่าบริการที่มีความเกี่ยวข้องกับกิจการ เช่น ค่าบำรุงรักษาตู้ ค่าเช่าตู้ เป็นต้น
เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับ แถมยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจในระยะยาวได้อีกด้วย
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting