เปิดงบ 11 แบงก์ โค้งแรก กำไร 6.8 หมื่นล้าน ‘กสิกรไทย’ ผลงานสูงสุด

เปิดงบ 11 แบงก์ โค้งแรก กำไร 6.8 หมื่นล้าน ‘กสิกรไทย’ ผลงานสูงสุด

กำไรสุทธิรวม 11 ธนาคารพาณิชย์พุ่งแตะ 68,395 ล้านบาท ในไตรมาสแรกปี 2568 เพิ่มขึ้น 12.09% จากไตรมาสก่อน และ 5.62% จากปีก่อน ขณะสำรองหนี้สูญรวมลดลงต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • กำไรสุทธิรวม 11 ธนาคารพาณิชย์พุ่งแตะ 68,395 ล้านบาท ในไตรมาสแรกปี 2568
  • เพิ่มขึ้น 12.09% จากไตรมาสก่อน และ 5.62% จากปีก่อน ขณะสำรองหนี้สูญรวมลดลงต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นในคุณภาพสินเชื่อ
  • ธนาคารกำไรสูงสุด KBANK ครองแชมป์ 13,791 ล้านบาท (+1.08% YoY) ถัดมา BBL 12,618 ล้านบาท (+19.90% YoY) และ SCB  12,502 ล้านบาท (+10.82% YoY)
  • ด้านสำรองหนี้สูญรวม 54,700 ล้านบาท QoQ เพิ่มขึ้นเพียง +0.38% และ YoYลดลง -8.01%

 

 

 

เปิดงบ 11 แบงก์ โค้งแรก กำไร 6.8 หมื่นล้าน ‘กสิกรไทย’ ผลงานสูงสุด

ประกาศเป็นที่เรียบร้อย สำหรับผลการดำเนินงานกลุ่ม 'ธนาคารพาณิชย์' โดยรวม ทั้ง 11 ธนาคาร 

โดยรวมไตรมาสนี้ถือว่า “กำไรสุทธิ” โดยรวมของกลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ทั้งจากการควบคุมต้นทุน ในการดำเนินธุรกิจได้ดี และสำรองหนี้สูญ หรือขาดทุนด้านเครดิตที่ลดลง หากเทียบกับช่วงไตรมาสที่ผ่านมา และเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

โดยหากดูกำไรสุทธิของ “11 ธนาคารพาณิชย์” ทั้ง กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LHFG) และธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT) ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT)

จาก 11 กำไรสุทธิโดยรวม อยู่ที่  68,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +12.09% และ  +5.62% จากไตรมาสก่อนหน้า และเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 

ธนาคารกำไรสูงสุด

  • KBANK: 13,791 ล้านบาท (+1.08% YoY)
  • BBL: 12,618 ล้านบาท (+19.90% YoY)
  • SCB: 12,502 ล้านบาท (+10.82% YoY)

ธนาคารกำไรหดตัวมากสุด (YoY)

  • KKP: -29.4%
  • CREDIT: -24.24%
  • TISCO: -5.19%

 

สำรองหนี้สูญรวม  54,700 ล้านบาท

QoQ เพิ่มขึ้นเพียง +0.38% YoY ลดลง -8.01%

ธนาคารที่ลดสำรองหนี้สูญมากที่สุด (YoY)

  •  LHFG: -63.50%
  • CREDIT: -42.54%
  • KBANK: -15.97%

ธนาคารที่ยังเพิ่มการตั้งสำรองมาก (YoY)

  • KKP: +81.28%
  • CIMBT: +58.21%
  • TISCO: +37.99%

โบรกเกอร์มองกำไรไตรมาส 2 จ่อทรุด 'รายได้ดอกเบี้ย-นิม' แคบลง 

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 ของหุ้นกลุ่มธนาคารออกมาค่อนข้างประสมประสาน แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารถูก Take Profit ต่อเนื่อง

มาจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะขยับลงต่อในปีนี้อีก 1-2 ครั้ง และถ้าเป็นเช่นนั้นผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 หรือครึ่งปีหลังอาจจะแผ่วลงในแง่ของ “รายได้ดอกเบี้ย” หรือ NIM ที่อาจจะแคบลง

ส่วน ปัจจัยเศรษฐกิจไทย ส่งผลกระทบต่อธนาคารหลายๆ ธนาคารที่สินเชื่อค่อนข้างติดลบเกือบหมด เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มีเพียง หุ้น SCB ที่ยังพอบวกขึ้นมาได้เท่านั้น ก็ทำให้ผลประกอบการในไตรมาสถัดไปชะลอตัวลงได้

 “แนะนำนักลงทุนซีเล็คทีฟเลือกตัวหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีความแข็งแรง โดยหากพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจก็ต้องดูหุ้นที่แข็งแรงจากคุณภาพสินทรัพย์ หรือแบงก์ที่ตั้งสำรองในปริมาณที่สูงเผื่อไว้แล้ว น่าจะมีความแข็งแรงกว่าแบงก์ที่ตั้งสำรองต่ำกว่า”

นายธนภัทร ฉัตรเสถียร นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า แม้สินเชื่อ “กลุ่มแบงก์” อาจจะเติบโตได้ไม่มากจากภาวะเศรษฐกิจที่ถูกกดดันจากปัจจัยมหภาค ซึ่งธนาคารอาจเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อส่วน NIM อาจอ่อนตัวจากการลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปี

อย่างไรก็ตามเราคาดว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้จะลดลงได้ เนื่องจากในปีก่อนหน้าได้มีการบริหารจัดการ NPL และมีการตั้งสำรองหนี้ในเชิงรุกไปแล้ว

สอดคล้องกำไรธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 13,791 ล้านบาท ดีขึ้น 28% จากไตรมาสก่อน และ 1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ดีกว่าคาด 9% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอ่อนตัว หลังสินเชื่อ และ NIM ปรับตัวลง ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยหลักเป็นผลจากกำไรจากเงินลงทุน

ขณะที่ ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ปรับตัวลงตามแผนของธนาคารที่จะปรับลดการตั้งสำรองลงเนื่องจากในปี ก่อนมีการบริหารจัดการ NPL และตั้งสำรองในเชิงรุกไปแล้ว ในช่วงที่เหลือของปี สินเชื่ออาจชะลอตัวจากการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และ NIM อาจอ่อนตัวจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปี แต่มีปัจจัยบวกจากการปรับลดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้เช่นกัน ราคาหุ้นยังมี Upside บวกกับปันผลที่ค่อนข้างสูง จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

เดินหน้าช่วยลูกค้า

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้เริ่มต้นด้วยความท้าทายที่สำคัญ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และความไม่แน่นอนอย่างสูงจากการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐ โดยบริษัท ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย และเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างทันท่วงที เช่น การพักชำระหนี้ และการให้สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าผลกระทบต่อธุรกิจของกลุ่ม SCBX มีในวงจำกัด

แม้จะเผชิญความท้าทายเหล่านี้ ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2568 ของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ซึ่งไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม อีกทั้งธุรกิจในกลุ่ม Gen 2 และ Gen 3 มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยต่อยอดผลประกอบการธุรกิจ Gen 1

ทั้งนี้ปีที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายปันผลสูงถึง 80% โดยยังมุ่งมั่นที่จะรักษาความเข้มแข็งทางการเงิน เพื่อสนับสนุนลูกค้า และเศรษฐกิจไทย พร้อมกับเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์