‘ณรงค์ชัย’ ชี้ลดดอกเบี้ยไม่ช่วย ศก.ฟื้น ไทยติดกับดักสภาพคล่อง

‘ณรงค์ชัย’ ชี้ ‘ลดดอกเบี้ย ’ไม่ช่วยฟื้น ศก. นอกจากปัญหาสงครามการค้า ไทยยังเผชิญกับปัญหาในประเทศ ‘ติดกับดักสภาพคล่อง’ ในประเทศหาย
ล่าสุดหลายสำนักเศรษฐกิจไทยเกือบ จะทุกสำนัก ออกมาปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย หรือจีดีพีปีนี้ลดลง เอฟเฟกต์จากนโยบายกำแพงภาษี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ หลังมองว่า การขึ้นกำแพงภาษีมาที่ระดับ 36% กระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภาคส่งออก การผลิต ภาคลงทุนที่จะถูกกระทบหนักจากนโยบายทรัมป์
โดยการปรับประมาณการจีดีพีล่าสุดต่ำลงไปที่ระดับ 1.4% โดยรวมๆ แล้วหั่นจีดีพีลดลงราว 1% เกือบทุกสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นหลายแห่งมองว่าผลกระทบนี้อาจทำให้ไทยเดินเข้าสู่ “ภาวะถดถอยจริง” ได้ในระยะข้างหน้า
ล่าสุด สื่อในเครือเนชั่น มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี” อดีต รมว.พาณิชย์ และอดีต รมว.พลังงาน อดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ฉายภาพให้เห็นถึงผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
ลดดอกเบี้ยไป 0% ก็ไม่ช่วย
ดังนั้น บนปัญหาการขาดสภาพคล่องหมุนเวียนในประเทศ แม้ลดดอกเบี้ยไปถึง 0% ก็ไม่ช่วย ดังนั้น ต้องมีระบบเพื่อเอื้อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสภาพคล่องได้มากขึ้น สถาบันการเงิน (แบงก์) เอื้อในการไฟแนนซ์สินเชื่อให้กับ “ภาคการผลิต” ตั้งแต่ต้นทาง
ขณะที่รัฐบาลก็ต้องเอื้อให้ภาคธุรกิจเข้าถึงสภาพคล่องได้มากขึ้น ดังนั้นสถาบันการเงินมีส่วนเข้ามาช่วยได้มาก โดยเฉพาะธนาคารเฉพาะกิจแห่งรัฐ หรือแบงก์รัฐหน้าจะเข้ามาทำหน้าที่ธุรกิจ
ทั้งนี้ ปัญหาขณะนี้ของประเทศไทย ไม่ได้มาจากด้านต่างประเทศ หรือปัจจัยจากทรัมป์เข้ามากระทบเพียงอย่างเดียว แต่ปัญหามาจากภายในประเทศ
“ลดดอกเบี้ยยังไงก็ไม่ช่วย ต่อให้ลดลง 0% ก็ไม่ช่วย เพราะปัญหาจริงๆ คือ คนขาดสภาพคล่อง ซึ่งปัญหาวันนี้ไม่ได้มาจากสงครามการค้าเพียงอย่างเดียว แต่ปัญหาเรามาจากภายในประเทศ ในประเทศขาดสภาพคล่อง หากไม่ทำอะไรสถานการณ์ก็แย่ลงเรื่อยๆ”
อย่างไรก็ตาม มองว่า อีกแนวทางแก้ปัญหาสำหรับประเทศไทย คือ การเพิ่มรายได้ เพราะขณะนี้หากดูรายได้จากการเก็บภาษีของไทยอยู่ที่เพียง 14% ของรายได้ประเทศทั้งหมด ดังนั้น ต่ำมากต้องขยายฐานภาษีให้เพิ่มขึ้น ต้องมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น
ดังนั้นมองว่าต้องปรับภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8% จากปัจจุบันที่ 7% เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง และรัฐบาลมีรายได้มากขึ้นเพื่อให้รัฐบาลมีพื้นที่ในการอัดสภาพคล่อง หรือทำนโยบายต่างๆ ลงสู่ระบบมากขึ้น แต่ไม่ใช่การ “แจกเงิน” เพราะมองว่าภายใต้ที่คนไม่มีสภาพคล่อง แล้วไปแจกเงิน คนก็คงไม่ได้มีสภาพคล่องในการผลิตมากขึ้น
“ถามว่าประเทศไทยจะวิกฤติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่านิยามของวิกฤติแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่สำหรับผมมันทำให้คนอยู่แล้วไม่สบาย”
หากพูดถึงการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ มองว่าปัจจุบันประเทศไทยส่งออกไปสหรัฐอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ไทยนำเข้าจากสหรัฐ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเป้าหมายของสหรัฐคือ การ “ลดการขาดดุล”
เพราะขณะนี้สหรัฐติดลบสูงมาก ในแง่การค้า ปัจจุบันสหรัฐติดลบทางการค้าเกือบ1 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็น 3-4% ของรายได้ประชาชาติ
ดังนั้นถือว่าติดลบค่อนข้างมาก ติดลบยาวนาน และต่อเนื่อง ซึ่งหากปล่อยไปต่อเนื่องสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จากการที่โลกสะสมดอลลาร์มากขึ้น ท้ายที่สุดอาจทำให้ภาระหนี้ที่เป็นต่างประเทศยิ่งเพิ่มขึ้น ฉะนั้นครั้งนี้ สหรัฐต้องการ “ติดลบ” น้อยลง
“ไทย” ยากแก้เกมสหรัฐ
ในส่วนของประเทศไทยเมื่อหักนำเข้าแล้ว ยังมีการเกินดุลกับสหรัฐราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บวกค่อนข้างมาก การจะไปลดการเกินดุลกับสหรัฐนั่นแปลว่าประเทศไทย ต้องนำเข้าเพิ่มอีก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ การนำเข้าเพิ่มจะทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และสินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักรกลเกินครึ่ง
ดังนั้นเป็นไปได้ยาก ที่ไทยจะเพิ่มการนำเข้า เพื่อลดการขาดดุล แต่ท้ายที่สุดจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ส่งออกจะลดลงด้วยตัวของมันเองเพราะ “ขายไม่ได้” สรุปคือ การส่งออกไปสหรัฐปีนี้ลดลงแน่นอน และอาจลดลงจนขายไม่ได้เลย หากไม่เร่งแก้ปัญหา เราก็อาจเดือดร้อนหนัก!
“การไปเสนอทำให้ลดการขาดดุลมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ และการจะไปซื้อสินค้าเพื่อนำเข้าจากเขา เช่น สินค้าเกษตรต่างๆ ก็ไม่มีทางทำได้มาก การส่งออกไปสหรัฐก็คงยากขึ้น เพราะโดนภาษีสูง ถ้าเราเป็นผู้ส่งออกแล้วโดนภาษีกว่า 30% แล้วขายแพงขึ้น และขอให้เขาซื้อจากเราเพิ่ม เขาคงไม่ยอม และเราจะลดต้นทุนลดลง 30% เราก็ทำไม่ได้อีกเพราะมาร์จินในการค้าขายผมว่าไม่เกิน 10% สรุปเราก็ต้องขายออกน้อยลง”
ผลกระทบไม่รุนแรงเท่าโควิด
หากถามว่าผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ครั้งนี้ รุนแรงกว่าช่วงโควิดหรือไม่? มองว่าผลกระทบอาจไม่ได้มีมากเท่าเหมือนตอนโควิด-19 ครั้งนี้เราจะส่งออกยากขึ้นเฉพาะในตลาดสหรัฐ เพราะภาษีสูง แต่ยังสามารถขายไปสู่ประเทศอื่นๆ ได้ ซึ่งอาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ซึ่งปัญหาขณะนี้อยู่ที่รัฐบาล และนักธุรกิจว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดกับนักธุรกิจไทย และรัฐบาลก็มีหน้าที่ ที่ต้องช่วยให้ภาคธุรกิจทำงานได้สะดวกขึ้น
แต่สิ่งที่เราอาจต้องเผชิญคือ อาจเจอสินค้าประเทศอื่นๆ เข้ามาขายแข่งกับในประเทศมากขึ้น เข้ามาแย่งตลาดไทย ส่วนนี้ไทยต้องป้องกันไม่ให้เกิดความไม่ยุติธรรม
กำลังซ้ำรอยปี 1983-1985
ซึ่งเหตุการณ์ที่ทั่วโลกเผชิญในปัจจุบัน ถือว่ามีความคล้ายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1983-1985 ที่มีการจัดทำข้อตกลงพลาซา (Plaza Accord)ระหว่างสหรัฐ ฝรั่งเศส เยอรมนี ตะวันตก ญี่ปุ่น และสหรัฐราชอาณาจักร จากการที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับหลายประเทศ
โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น เยอรมนีเป็นหลัก จากดอลลาร์ที่แข็งค่าเกินไป ขณะที่ค่าเงินญี่ปุ่นเยอรมันนี่อ่อนค่าสหรัฐจึงบังคับให้ประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐ “เพิ่มค่าเงิน” ขึ้นมาเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่การบังคับให้ขึ้นค่าเงินสหรัฐบังคับเฉพาะบางประเทศเท่านั้น เฉพาะที่สหรัฐขาดดุล
ซึ่งมีไม่มีประเทศ ดังนั้นสถานการณ์วันนี้คล้ายกันกับอดีต เพียงแต่ครั้งนี้สหรัฐไม่เลือกประเทศ แต่เลือกบังคับทั่วโลก
แต่ครั้งนี้สหรัฐขาดดุลการค้ากับทั่วโลก ขาดดุลจำนวนมาก โดยเฉพาะขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุด ดังนั้น เป้าหมายของสหรัฐฯที่ต้องการทำที่สุดคือ ผ่านการขึ้นกำแพงภาษีกว่า 100%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์