ธปท.ผวา ‘ภาษีทรัมป์’ จับตา ‘เลิกจ้าง-ผิดนัดชำระหนี้-ชะลอลงทุน‘

ธปท.ผวา ‘ภาษีทรัมป์’ จับตา ‘เลิกจ้าง-ผิดนัดชำระหนี้-ชะลอลงทุน‘

“แบงก์ชาติ” เปิดผลกระทบ “กำแพงภาษีทรัมป์” ชี้เป็นช็อกใหญ่โลก และช็อกยาวนานฉุด “จีดีพี” ปีนี้ต่ำกว่าระดับ 2.5% จับตาความเสี่ยงเลิกจ้าง ความเสี่ยงเกิดผิดนัดชำระหนี้

KEY

POINTS

  • "ธปท."รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ เป็นช็อคใหญ่ของโลก และเป็นช็อคยาวนาน ช็อคที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานเศรษฐกิจ 
  • ชี้ผลกระทบต่อไทยผ่าน 5 ช่องทาง ตลาดเงินปั่นป่วน ส่งออกทรุด การผลิตชะงัก การลงทุนถูกชะลอ
  • จับตาเอฟเฟกซ์ภาษีทรัมป์ กระทบต่อธุรกิจจนนำไปสู่การเลิกจ้างงานมากขึ้น ลามมีปัญหาผิดนัดชำระตามมา รับกระทบต่อภาคการลงทุนแล้ว พบเอกชนชะลอลงทุนในไทย
  • ธปท.ย้ำสถานการณ์และผลกระทบวันนี้ เป็นเพียงเริ่มต้น อาจเห็นผลกระทบทยอยเข้ามาให้เห็นต่อเนื่องหลังจากนี้
  • รับกระทบต่อ 'จีดีพี'เศรษฐกิจไทย อาจเติบโตต่ำกว่าระดับ 2.5% ในปีนี้

 

ธปท.ผวา ‘ภาษีทรัมป์’ จับตา ‘เลิกจ้าง-ผิดนัดชำระหนี้-ชะลอลงทุน‘ นโยบายการค้าของสหรัฐจากการขึ้นกำแพงภาษีทั่วโลกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา สร้างผลกระทบสั่นสะเทือนต่อทั่วโลก ส่งผลให้โลกการเงิน “ปั่นป่วนหนัก” นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหา “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) เพิ่มขึ้น พร้อมชะลอการลงทุนในประเทศต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ “ประเทศไทย” ที่อาจโดนผลกระทบจาก “ความไม่แน่นอน” จากนโยบายของทรัมป์ครั้งนี้ 

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวในงาน Media Briefing ว่า ยอมรับว่าจากผลกระทบต่อนโยบายการค้าโลกต่อเศรษฐกิจไทย จากมาตรการภาษี Tariff ของ “โดนัลล์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้ ถือเป็นช็อกใหญ่ของโลก 

รวมทั้งจะเป็นช็อกที่อยู่กับประเทศไทยและประเทศต่างๆ ยาวนาน และเป็นช็อกที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของเศรษฐกิจ และมีผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายช่องทาง

ธปท.มองว่าผลกระทบจากมาตรการภาษี Tariff ครั้งนี้ยังไม่จบ แต่เพิ่งเริ่มต้น และจะเริ่มเห็นผลกระทบจากช็อกทยอยเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้

โดยเฉพาะจาก Negative supple shock ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลง ช็อกถัดมาคือ ช็อกผ่านตลาดการเงินโลก ที่ราคาสินทรัพย์ผันผวนหนัก และเกิดการตึงตัวของภาวะการเงินในประเทศ ไม่เพียงเท่านั้นยังส่งผ่านผลกระทบที่ทำให้เกิด sectoral export shock การส่งออกและการค้าโลกที่ชะลอลง และกระทบต่ออุปสงค์ของโลกชะลอตัว หรือเกิด Global demand shock ซึ่งทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกมีแนวโน้มลดลง

ในด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจ หรือการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ธปท. มองว่าจากผลกระทบที่ใหญ่ และยาวนาน และมีผลกระทบลึกต่อหลายภาคส่วนโดยเฉพาะ “ภาคการส่งออก” ที่มีการส่งออกไปสหรัฐค่อนข้างมาก รวมถึงผลกระทบที่ส่งผ่านมาสู่ด้านต่างๆ

ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ต่ำลงกว่าระดับ 2.5% จากที่ประเมินไว้ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา จากประมาณการเดิมที่ 2.9%

ถึงแม้ครั้งนี้ยังไม่ใช่การปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย แต่มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบมากกว่าคาดไว้ 

ทั้งนี้ ต้องรอดูตัวเลขประมาณการใหม่ในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ในการประชุม กนง.ครั้งถัดไป โดยครั้งนั้นจะมีการปรับตัวเลขทั้ง จีดีพี , ส่งออก และเงินเฟ้อลดลงด้วย จากผลกระทบจากมาตรการภาษี Tariff

มาตรการภาษีฉุดเศรษฐกิจโลก 0.5-1%

ทั้งนี้ ในส่วนจะปรับจีดีพีไทยต่ำลงมากน้อยระดับใดนั้น ธปท. ยังไม่สามารถระบุได้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับซินาริโอ และผลกระทบที่จะเข้ามาในระยะข้างหน้า

“เราจะมีการนำข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาเข้ามาพิจารณาในที่ประชุมกนง. ในสิ้นเดือนนี้ ทั้ง จีดีพี เงินเฟ้อ และตัวเลขส่งออก ซึ่งในแง่ของเศรษฐกิจต้องยอมรับว่าความเสี่ยงสูงขึ้น และครั้งนี้ผลกระทบถือเป็นช็อกที่ใหญ่และลึกในบางเซกเตอร์ แต่มองว่าไม่รุนแรงเท่าโควิด-19 ที่ทำให้จีดีพีติดลบทั่วโลก โดยโควิด-19 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก 2-3% และกระทบเป็นวงกว้าง แต่มาตรการภาษี Tariff เป็นผลกระทบเชิงลึกเฉพาะกลุ่มมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกราว 0.5-1%”

ห่วง Tariff กระทบไทย 5 ช่องทาง

อย่างไรก็ตาม สำหรับการประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ธปท.มองว่า นอกจากส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก การค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ผลกระทบยังส่งผ่านและกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยหลายช่องทางทั้งระยะสั้น และระยะยาว และคาดว่าผลกระทบจะเห็นมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป

ทั้งนี้ ธปท.มองว่าผลกระทบต่อไทยผ่าน 5 ช่องทางหลัก จากหลายช็อกที่เข้ามากระทบต่อประเทศไทย ช็อกแรกคือ

1.กระทบต่อตลาดเงิน ที่กระทบต่อราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโลกและไทยผันผวนมากขึ้น และผันผวนรวดเร็ว นับตั้งแต่ประกาศมาตรการภาษี Tariff เมื่อ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา เช่นเดียวกันการแข็งค่าของ “ค่าเงินบาท” ต่อดอลลาร์ที่แข็งค่ามากขึ้น หากเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค เช่นเดียวกันกับ “ตลาดหุ้นไทย” ปรับลดลงสอดคล้องกับภูมิภาค 

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังไม่เห็นการทำธุรกรรมที่ผิดปกติจากกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ในส่วนของภาวะการระดมทุนผ่านหุ้นกู้โดยรวมยังเป็นปกติ

2.กระทบการลงทุน จากความไม่แน่นอนที่ยังสูงต่อเนื่องทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจและการลงทุน ชะลอออกไป (wait and see) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐเป็นหลัก (อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และยานยนต์) 

ทั้งนี้ เริ่มเห็นผลดังกล่าวแล้ว จากการหารือกับผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าวมีบางส่วนรอความชัดเจนเพื่อตัดสินใจการลงทุนใหม่จากแผนเดิมที่วางไว้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่นอาจเห็นการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย

3.กระทบการส่งออก เป็นช่องทางหลักที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี Tariff แต่ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี เพราะมีการชะลอการบังคับใช้ Reciprocal Tariff ออกไป 90 วัน จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีการส่งออกไทยไปสหรัฐ คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และคิดเป็น 2.2% ของจีดีพี โดย sector หลัก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วนฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป นอกจากนี้ จะมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยที่อยู่ใน Supply Chain ของโลก ที่ผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐ

4.กระทบการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้น สินค้าไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐได้น้อยลง และหันมาส่งออกไปยังตลาดเดียวกับไทย รวมถึงส่งมายังไทย โดยเฉพาะหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โลหะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่มีอยู่เดิม

5.กระทบเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอลง การส่งออกโดยรวมและรายรับการท่องเที่ยวอาจถูกกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะปรับลดลง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและเงินเฟ้อของไทยชะลอลงจากปัจจัยด้านอุปทาน

หวั่นเลื่อนลงทุน-เลิกจ้าง-ผิดนัดชำระหนี้

ไม่เพียงเท่านั้น จากผลกระทบข้างต้น ธปท. มองว่าต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากผลกระทบมาตรการภาษี Tariff ในระยะข้างหน้า จาก 4 ด้านหลัก ทั้งผลกระทบจาก 1.การค้า เช่น ธุรกรรมการส่งออกและนำเข้า 

2.การผลิตและการจ้างงาน เช่น การแจ้งหยุดกิจการชั่วคราว ตาม ม.75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 3.ภาวะการเงิน เช่น ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ และต้นทุนการกู้ยืมผ่านหุ้นกู้ภาคเอกชน 4.Sentiment การลงทุน เช่น การขออนุมัติส่งเสริมการลงทุน และการขอขยายเวลาการออกบัตรฯ เพื่อเลื่อนการลงทุนออกไป

นอกจากนี้ ธปท. จะดูแลการทำงานของกลไกตลาดต่าง ๆ (market functioning) ให้ดำเนินเป็นปกติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดูแลความผันผวนในตลาดการเงินที่สูงกว่าปกติในช่วงนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจริง

นายสักกะภพ กล่าวต่อว่า นโยบายการค้าโลกที่เปลี่ยนไป ถือเป็นปัจจัยที่จะเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยและโลกอย่างถาวร ทำให้ต้องเร่งปรับตัว

โดยในระยะสั้น นอกจากเรื่องการเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ไทยควรมีมาตรการรับมือ ทั้งการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศ และป้องกันการนำเข้าสินค้ามาเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ผ่านไทย (transshipment)

อาทิ กำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าและความคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ การเร่งรัดกระบวนการไต่สวน (AD/CVD และ AC) ข้อพิพาทกับต่างประเทศ การเข้มงวดกับการตรวจสอบสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ป้องกันการสวมสิทธิจากประเทศที่สาม เป็นต้น

และในระยะยาว ไทยควรขยายตลาดและเสริมสร้าง supply chain โดยเฉพาะกับประเทศในภูมิภาค และต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้แข่งขันในห่วงโซ่อุปทานของโลกได้ เช่น ยกระดับภาคการผลิตและภาคบริการที่ไทยมีศักยภาพ

เช่น สินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยเฉพาะการวิจัยและนวัตกรรม ทักษะแรงงาน และการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค

ธปท.ย้ำดูแล“เงินบาท”ไม่ให้ผันผวนเกิน

นายสักกะภพ กล่าวถึงการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนด้วยว่า ธปท. จะดูแลไม่ให้มีความผันผวนเกินปัจจัยพื้นฐาน โดยดูแลเงินบาทให้เคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งประเด็นการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง และทำให้เงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่า ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า แต่ยังเคลื่อนไหวตามภูมิภาคที่ต่างปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ