‘บาทแข็ง’ในรอบเกือบ6เดือน แรงหนุนลดถือครอง‘ดอลลาร์’

‘บาทแข็ง’ในรอบเกือบ6เดือน แรงหนุนลดถือครอง‘ดอลลาร์’

“เงินบาท” หลังสงกรานต์พลิก “แข็งค่า”รอบเกือบ 6 เดือน ที่ 33.36 บาทต่อดอลลาร์ เหตุรับแรงหนุนลดถือครอง “สกุลดอลลาร์” หลังสูญเสียน้ำหนักในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

KEY

POINTS

  • “กรุงไทย” มองแข็งค่าระยะสั้น ช่วง 90 วัน พักรบกรอบ 32.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์ จับตา “ค่าเงินหยวน-คู่ค้าเจรจาภาษีกับสหรัฐ” หลัง 90 วัน “อ่อนค่า” ต่อได้
  • “ไทยพาณิชย์” ชี้ภายในเดือนก.ค. ไทยไม่สามารถเจรจาภาษีสหรัฐได้ชัดเจน หวั่นเชื่อมั่นลดช่วงครึ่งหลัง “กดดัน” บาทอ่อนค่าเร็วต่อถึง 36.50 บาทต่อดอลลาร์

ผลของการปรับขึ้น Reciprocal Tariffs ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศครั้งแรก ตั้งแต่ 2 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา สร้างความผันผวนให้กับ “ตลาดการเงินทั่วโลก” โดยสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กับไทยสูงถึง 36% ทำให้ “เงินบาท” ณ วันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา แตะระดับ “อ่อนค่า” สุดในรอบกว่า 4 เดือนครึ่ง ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์  

จนกระทั่งเมื่อ 10 เม.ย. ก่อนปิดเทศกาลสงกรานต์ เป็นวันหยุดยาวของไทย “ทรัมป์” ประกาศ ระงับขึ้นภาษีนำเข้า 90 วัน ให้ 75 ประเทศที่ไม่ตอบโต้แต่ยังเก็บ 10% ภายหลังมีการติดต่อขอเจรจาแต่ยังคงขึ้นภาษีนำเข้าจีน 125% ทำให้ “เงินบาท” กลับมา “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ 34.16-34.18 บาทต่อดอลลาร์ รวมทั้ง เงินบาทยังได้รับอานิสงส์การปรับตัวขึ้น “ราคาทองคำ” ในตลาดโลกด้วยเช่นกันปิดตลาดที่ 33.63 บาทต่อดอลลาร์ ณ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา

เงินบาท “แข็งค่าสุด” ในรอบเกือบ 6 เดือน  

หลังจากเปิดสงกรานต์มาแล้ว “เงินบาท” ยังคงแข็งค่าแตะระดับแข็งค่าสุดรอบเกือบ 6 เดือน ที่ 33.36 บาทต่อดอลลาร์ตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกยังคงพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่หลายรอบประกอบกับ เซนติเมนต์ของเงินดอลลาร์ ยังคงอ่อนแอ ตลาดบอนด์โดนเทขาย เพราะตลาดยังคงติดตามสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง

แนวโน้มทิศทางค่าเงินบาทจะเป็นไปอย่างไรนั้นนายสงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ตอนนี้มองว่า “ดอลลาร์” ได้สูญเสียน้ำหนัก(ถูกลดน้ำหนัก) ในสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยไป ซึ่งในครั้งนี้เป็นรอยแผลที่กู้กลับไม่ได้

ขณะที่สกุลเงินอื่นๆ ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกสินทรัพย์ปลอดภัยขึ้นมาทดแทน (เพิ่มน้ำหนัก) อย่างหลายสกุลเงินในเอเซียและประเทศเกิดใหม่ปรับตัวเข็งค่าขึ้น ได้แก่เงินเยน และเงินบาทรวมถึงหลายสกุลเงินในโลกปรับตัวแข็งค่าขึ้น ได้แก่เงินสวิส ฟรังก์มีความเป็นกลางทางการเมือง การเมืองในประเทศเข้มแข็ง และ ยูโร เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ G10

สะท้อนว่า ความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับคู่ค้า จะไม่สุดซอย นโยบายจะแตกต่างกันตามจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละประเทศ ทำให้คู่ค้าของสหรัฐ เรียลเซ็กเตอร์ พิจารณาลดน้ำหนักถือดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย กระจายความเสี่ยงมากมาถือสกุลเงินอื่นๆ

สำหรับ แนวโน้มเงินบาทหลังจากนี้ ยังคงมีมุมมองน่าจะมีโอกาสอ่อนค่าจากการโตเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบด้วยแต่พอเกิดการปรับลดน้ำหนักถือครอง “ดอลลาร์” และ “ราคาทอง” พุ่งทำ All Time High เลยกลับมามองว่าเงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบเดิม 32.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์ต้องรอติดตามหลังครบ 90 วันว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายการค้ากับประเทศคู่ค้าอย่างไรบ้าง

ระยะยาว “เงินบาทอ่อน” ในกรอบ 34.00-34.50 บาท 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินบาทช่วง 90 วันพักรบ ยังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสกลับมาอ่อนค่าลงทดสอบโซน 34.00-34.50 บาทต่อดอลลาร์ และไม่ได้แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องมากในระยะสั้น แม้ช่วงนี้สินทรัพย์สหรัฐ อย่างเงินดอลลาร์จะเผชิญแรงกดดันจากความเชื่อมั่นผู้เล่นในตลาดที่ลดลง ท่ามกลางความกังวลผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ

เพราะคำนึงถึงปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอื่นๆ เช่น โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ คาดจะมียอดการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 6-7 หมื่นล้านบาท อีกทั้งในช่วงไตรมาสที่ 2 ถึง ไตรมาสที่ 3 จะเป็นช่วงเข้าสู่ Low Season ของการท่องเที่ยว ส่วนส่งออกก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ

หลังจาก 90 วัน “ทิศทางเงินบาท” จะขึ้นกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้มองการประเมินความเป็นไปได้ของเหตุการณ์จะเกิดขึ้น (Scenario Analysis) อาจมีความเหมาะสมกว่าการประเมินแนวโน้มค่าเงินบนสมมติฐานใด สมมติฐานหนึ่งเพียงอย่างเดียวโดยจะแบ่งเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ ตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ดังนี้

กรณีที่ 1 (อาจเป็นกรณีที่เลวร้ายสุด) หลังครบกำหนดระยะเวลา 90 วัน สหรัฐกลับมาดำเนินมาตรการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ตามที่ได้ประกาศไว้หรือนำไปสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบ กดดันการค้าโลก ส่งผลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนัก ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงเผชิญภาวะ Stagflation ทำให้เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินระมัดระวัง แนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะขึ้นกับภาวะการจ้างงานสหรัฐจะชะลอตัวลงมากน้อยเพียง 

กรณี 1.1 ตลาดแรงงานสหรัฐชะลอตัวลงหนักเฟดอาจลดดอกเบี้ย 3-4 ครั้ง ขณะที่เศรษฐกิจไทยจะเผชิญแรงกดดันหนักจากสงครามการค้า ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถลดดอกเบี้ยลงได้ 4 ครั้ง สู่ระดับ 1.00% ทำให้ในระยะสั้น เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้ช่วงไตรมาสที่ 3 ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย อีกทั้ง เงินบาทอาจได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ และช่วง High Season ของท่องเที่ยวทำให้เงินบาทอาจจบสิ้นปีนี้แถว 35.00 (+/- 0.25) บาทต่อดอลลาร์

กรณี 1.2 ตลาดแรงงานสหรัฐไม่ได้ชะลอตัวลงหนักเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้มากสุด เพียง 1 ครั้ง ในปีนี้กดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ย่อตัวลงบ้างแต่ผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้ ธปท.ลดดอกเบี้ยได้ 4 ครั้ง จับตาทิศทางเงินหยวนจีนหากเงินหยวนจีนถูกจำกัด อ่อนค่าไม่เกิน 7.40-7.50 หยวนต่อดอลลาร์ช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในด้านต่างประเทศก็จะไม่แตกต่างจากกรณี 1.1 ทำให้เงินบาทอาจจบสิ้นปีแถว 35.50 (+/-0.25) บาทต่อดอลลาร์

ส่วนกรณีที่ 2 มองทางการสหรัฐอาจยังไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ หลังครบกำหนดระยะเวลา 90 วัน แต่มาตรการกีดกันทางการค้ากับจีนนั้น ยังคงอยู่ (สินค้าจีนจะเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 125%) กรณีนี้ บรรยากาศการค้าโลกจะดีขึ้นพอสมควรเศรษฐกิจไทยรับผลกระทบเชิงลบหากเศรษฐกิจจีนชะลอลง 

ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอลงจากผลกระทบของนโยบายกีดกันการค้าทำให้อัตราภาษีนำเข้าโดยเฉลี่ยระดับสูง 10-15% เฟดอาจยังคงระมัดระวังการดำเนินนโยบายการเงิน กรณีตลาดแรงงานสหรัฐ อาจไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก ทำให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยไม่เกิน 2 ครั้ง ตามที่ประเมินไว้ใน Dot Plot เดือนมี.ค. ส่วน ธปท. มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง หากผลกระทบของนโยบายกีดกันการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐกดดันให้ส่งออกของไทยไปยังจีนชะลอตัวลงชัดเจ

และกรณีสุดท้าย ซึ่งอาจมองเป็น Best Cast Scenario ได้นั้น คือ สหรัฐยังคงเก็บภาษีนำเข้า Universal Tariff กับบรรดาประเทศต่างๆ ในอัตรา 10% ส่วนจีนอาจได้รับการผ่อนปรนบ้าง โดยสหรัฐอาจเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนราว 25% หลังเจรจาการค้าลุล่วงไปด้วยดีเฟดยังทยอยลดดอกเบี้ยลงได้บ้าง ราว 2 ครั้ง เช่นเดียวกันกับธปท.อาจลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนเม.ย. และธ.ค. น่าจะเพียงพอประคับประคองเศรษฐกิจไทย 

อีกปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ คือ แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ไม่ยาก หลังสถานการณ์การค้าโลกดีขึ้น หนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ กดดันดอลลาร์อ่อนค่าลง แต่ไม่ได้อ่อนค่ามาก หากตลาดยังคงทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์สหรัฐ โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ (The Magnificent 7) ประเมินแนวโน้มปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจด้านต่างประเทศดีขึ้นและควรดีที่สุด เทียบกับกรณีอื่นๆ มองเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 33.50 (+/-0.25 ) บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นปี 

จากการประเมินทั้ง 3 กรณีดังกล่าว เงินบาทมีโอกาสจบสิ้นปีนี้ ได้ตั้งแต่ระดับ 33.25 ไปจนถึง 35.75 บาทต่อดอลลาร์ ประเมินแนวโน้มค่าเงินบาทกรณีต่างๆ อาจมีบางตัวแปรที่ไม่ได้คำนึงถึง เนื่องจากค่าเงินมีหลายปัจจัยที่สามารถส่งผลกระทบได้ ทำให้คาดแนวโน้มเงินบาทดังกล่าวอาจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้ แต่เชื่อการทำความเข้าใจถึงความเป็นไปได้ของแนวโน้มเงินบาทในกรณีต่างๆ ผ่านการทำ Scenario Analysis จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

“ไทยพาณิชย์” คาดไม่สามารถตกลงกับสหรัฐได้ “บาทอ่อนเร็ว” 

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไทยเผชิญผลกระทบ 2 เรื่องซ้อนกัน คือผลกระทบจากแผ่นดินไหว และผลกระทบจากการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์ อีกทั้ง ไทยพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ และจีนสูง นักลงทุนจึงสูญเสียความเชื่อมั่นค่อนข้างมาก

สำหรับค่าเงินบาทระยะสั้น 1-3 เดือนนี้ คาดว่า อ่อนค่าอยู่ในกรอบ 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์สอดคล้องกับประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่ยอมให้เงินอ่อนค่าเพื่อรองรับผลกระทบจากกำแพงภาษีของทรัมป์ และเงินบาทอาจอ่อนค่าตามแนวโน้มเงินหยวน สำหรับในระยะกลางถึงยาว แนวโน้มเงินบาทจะขึ้นอยู่กับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

กรณีที่ไทยไม่สามารถตกลงกับสหรัฐฯเพื่อให้ลดภาษีลงได้ภายใน ก.ค. อาจทำให้ความเชื่อมั่นลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง กดดันบาทอ่อนค่าเร็วต่อได้ในกรอบ 35.50-36.50 บาทต่อดอลลาร์อย่างไรก็ดีหากไทยสามารถเจรจาได้ และสหรัฐฯ ยอมลดภาษีลงบางส่วนทั้งต่อไทยและประเทศอื่น ๆ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและ Global capital flows ไม่รุนแรง ก็อาจทำให้เงินบาททรงตัวหรือกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีหลังในกรอบ 34.00-35.00 บาทต่อดอลลาร์