ภาษีทรัมป์สะเทือนยักษ์ใหญ่ Adidas, Nike, On แบรนด์จับตาสถานการณ์ใกล้ชิด หวั่นต้องขึ้นราคากระทบทั้งระบบ

ภาษีทรัมป์สะเทือนยักษ์ใหญ่ Adidas, Nike, On แบรนด์จับตาสถานการณ์ใกล้ชิด หวั่นต้องขึ้นราคากระทบทั้งระบบ

ภาษีทรัมป์ สะเทือนแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Adidas, Nike, On แบรนด์จับตาสถานการณ์ใกล้ชิด หวั่นต้องขึ้นราคากระทบทั้งระบบ

KEY

POINTS

Key points

  • เวียดนาม ที่เป็นเหมือนโรงงานหลักผลิตสินค้ากีฬาโลกในปัจจุบันถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มถึง 46 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้สะเทือนไกลข้ามโลกไปถึงสำนักงานใหญ่ของทุกแบรนด์กีฬาดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Nike, Adidas, Puma
  • ซามูเอล เวงเกอร์ ซีซีโอของแบรนด์ On ยอมรับว่าเรื่องภาษีนำเข้าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจกำหนดราคาสินค้า
  • แบรนด์ ร้านค้า และแน่นอนผู้บริโภค ซึ่งแม้หลักๆที่กระทบที่สุดจะเป็นผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาที่อาจต้องซื้อของแพงขึ้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าทั่วโลกด้วยเช่นกัน
  • การย้ายฐานการผลิตนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก แม้กระทั่งการหาฐานการผลิตสินค้าใหม่สำหรับตลาดในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย “บางบริษัทอาจจะสามารถเปลี่ยนฐานกาารผลิตใหม่สำหรับตลาดในสหรัฐฯโดยเฉพาะได้ แต่มันต้องใช้เวลายาวนานหลายปี”

สงครามการค้า” ครั้งใหม่ที่เริ่มต้นโดยสหรัฐอเมริกากำลังส่งผลสะเทือนโลกทั้งใบได้สมกับความเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างแท้จริง

          โดยหลังการประกาศของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับมาตรการกำแพงภาษีที่เรียกกันง่ายๆว่า “ภาษีทรัมป์” ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อตอบโต้ทุกชาติบนโลกที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯมาอย่างยาวนานนั้นได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทุกย่อมหญ้า

          ไม่เว้นแม้แต่ในวงการกีฬาที่ได้รับผลกระทบไม่ต่างอะไรจากแผ่นดินไหวในระดับมหาวิปโยคเลยทีเดียว

          ทั้งนี้เพราะฐานการผลิตของแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Nike, Adidas, Puma หรือแม้แต่แบรนด์ดาวรุ่งอย่าง On และ Hoka ล้วนอยู่ทางฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามที่เปรียบได้ดังโรงงานผลิตหลักของทุกแบรนด์เนื่องจากค่าจ้างของแรงงานต่ำกว่าชาติอื่น

         โดยเวียดนามนั้นเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ มากมายมหาศาลถึง 1.235 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นชาติที่ถูกเรียกเก็บภาษีสินค้าจากเวียดนามสูงถึง 46 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

          นั่นทำให้ทันทีว่ามีข่าวการปรับขึ้นการเรียกเก็บภาษีนำเข้าใหม่ หุ้นของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในวงการกีฬาร่วงเหมือนตกหลุม ท่ามกลางความวิตกกังวลของทุกแบรนด์ที่ต้องเตรียมมาตรการรับมือความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

          ในอีกด้านไม่ใช่เฉพาะแบรนด์ที่กังวลใจ ผู้บริโภคเองก็หวั่นใจเช่นกันเพราะมีความเป็นไปได้ที่ราคาสินค้าเสื้อผ้ากีฬาจะปรับสูงขึ้นจากมาตรการภาษีดังกล่าวด้วย ซึ่งนั่นอาจทำให้อัตราการบริโภคในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ยิ่งถดถอยลงไปอีก

          นี่คือคำถามที่สำคัญว่าผลกระทบจากเรื่องนี้จะส่งผลอย่างไร วงการกีฬาจะตั้งรับกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?

วาจาสิทธิ์พระร่วงของทรัมป์

          ย้อนกลับไปในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาภายหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรื่องมาตรการภาษีการค้าใหม่กับ 180 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแต่ละประเทศจะมีการเรียกเก็บภาษีสินค้าสูงขึ้นตามสัดส่วนของการค้าที่ได้เปรียบสหรัฐฯ ตลอดช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

          ชาติที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักมีหลายชาติด้วยกัน ซึ่งรวมถึงชาติที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา ที่ถูกเรียกเก็บภาษีขึ้น 49 เปอร์เซ็นต์, บังกลาเทศ ที่ถูกเรียกเก็บเพิ่ม 37 เปอร์เซ็นต์ และอินโดนีเซียที่โดนไป 32 เปอร์เซ็นต์

          ขณะที่เวียดนาม ที่เป็นเหมือนโรงงานหลักผลิตสินค้ากีฬาโลกในปัจจุบันถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มถึง 46 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้สะเทือนไกลข้ามโลกไปถึงสำนักงานใหญ่ของทุกแบรนด์กีฬาดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Nike, Adidas, Puma

          โดยทันทีที่มีข่าวออกมาหุ้นของแบรนด์เหล่านี้ดิ่งลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น หุ้นของ Adidas ตกลงถึง 9 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นการตกที่รุนแรงที่สุดในรอบปี ขณะที่ Nike เองหุ้นตก 10 เปอร์เซ็นต์

ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2017 เช่นกันกับ Puma ที่หุ้นตกถึง 8.5 เปอร์เซ็นต์เป็นสถิติต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016

          เหตุผลเพราะแบรนด์เหล่านี้ต่างฝากชีวิตเอาไว้กับโรงงานในเวียดนามนั่นเอง

โรงงานกีฬาของโลก

          ตัวเลขสถิติที่น่าสนใจสำหรับโรงงานการผลิตสินค้ากีฬาของเวียดนามนั้น พวกเขาเป็นผู้ผลิตรองเท้ากีฬาให้กับ Nike เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนสินค้าที่ผลิตในแต่ละปี ส่วน Adidas นั้นมีการสั่งผลิตที่เวียดนามมากถึง 39 เปอร์เซ็นต์

          เรียกได้ว่าเวียดนามคือซัพพลายเออร์ใหญ่ของ 2 แบรนด์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยอาศัยความได้เปรียบจากเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำของแรงงาน เสถียรภาพในประเทศ ทำให้ทุกแบรนด์พร้อมใจย้ายฐานการผลิตจากจีนมาที่เวียดนาม เพราะเรื่องของสงครามการค้ากับจีนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี (2017-2021) ที่ส่งผลกระทบลุกลามไปทั่ว

          นอกจากเวียดนามยังมีประเทศอื่นในแถบอาเซียนที่ถือเป็นฐานการผลิตเช่นกัน เช่น กัมพูชา และอินโดนีเซีย แต่ตามการเปิดเผยจากไมเคิล ยี ซีอีโอแห่ง MGF จากฮ่องกงที่เป็นตัวแทนหาโรงงานรับผลิตสินค้ากีฬาเปิดเผยว่าโรงงานในกัมพูชาจะมีการเรียกเก็บเงินเพิ่ม 5-10 เปอร์เซ็นต์หากสั่งย้ายฐานการผลิตจากเวียดนามหรือจีนมาที่กัมพูชา

          มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาจึงกระทบต่อเรื่องการผลิตสินค้าอย่างมาก ซึ่งตามรายงานจากรอยเตอร์แบรนด์ต่างๆปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้

          เพียงแต่เป็นที่รู้กันดีว่าพวกเขาต่างหวังว่าเวียดนามจะสามารถหาทางเจรจาทางการค้าใหม่กับสหรัฐอเมริกาได้ลงตัว

          เพราะหากเจรจากันไม่สำเร็จ แบรนด์เองก็ลำบาก แต่เวียดนามอาจจะถึงขั้นระบบเศรษฐกิจพังได้

รองเท้าและเสื้อผ้าราคาจะขึ้นทั้งโลก?

          นอกจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่แล้วแบรนด์อื่นๆ รวมถึงน้องใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆอย่าง On จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ถือเป็นแบรนด์รองเท้าสุดล้ำแต่ละคู่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีเองก็มีฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่เวียดนามเช่นกัน

          โดยในปี 2024 พวกเขาสั่งผลิตรองเท้าจากโรงงานในเวียดนามถึง 90 เปอร์เซ็นต์ และอีก 60 เปอร์เซ็นต์สำหรับเสื้อผ้าและสินค้าอื่นๆ

          โดยทางด้านซามูเอล เวงเกอร์ ซีซีโอของแบรนด์ On ยอมรับว่าเรื่องภาษีนำเข้าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจกำหนดราคาสินค้าซึ่งปกติรองเท้าของพวกเขามีสนนราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้วตั้งแต่ 130-330 ดอลลาร์สหรัฐต่อคู่

          “สถานะความเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมของเราทำให้เราสามารถที่จะปรับราคาได้อย่างรอบคอบ”  เวงเกอร์กล่าว

          แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่คำพูดที่ฟังดูดีนัก และในภาพรวมแล้วจากเรื่องที่เกิดขึ้นมีโอกาสที่ราคาสินค้ากีฬา ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าหรือเสื้อผ้าจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลกระทบมหาศาลอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่หรือยักษ์เล็กต่างก็เจ็บตัวกันหมด

          โดยเฉพาะ Nike ที่เผชิญวิกฤติยอดขายตกต่ำและพยายามจะหาทางกลับมาผงาดอีกครั้งใต้ยุคของซีอีโอคนใหม่อย่างเอลเลียตต์ ฮิลล์ ที่เป็นลูกหม้อของบริษัท ข่าวเรื่องภาษีการค้าครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากการโดนปล่อยหมัดอัปเปอร์คัตเข้าใส่ปลายคาง

          ขณะที่ร้านค้ากีฬาเองก็ลุ้นระทึกไปด้วยเช่นกัน เพราะการขึ้นราคาสินค้านั้นย่อมส่งผลต่อยอดขาย ร้านค้าอย่าง JD Sports หรือแม้แต่ Foot Locker เองก็ต้องรับผลกระทบตามไปด้วย เพราะยังไม่มีใครรู้ว่าหากต้องมีการปรับขึ้นราคาสินค้าเพราะมาตรการภาษีของสหรัฐฯจริงๆ ใครจะเป็นคนที่รับภาระในส่วนนี้บ้าง และใครจะรับมากกว่ากัน

          แบรนด์ ร้านค้า และแน่นอนผู้บริโภค ซึ่งแม้หลักๆที่กระทบที่สุดจะเป็นผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาที่อาจต้องซื้อของแพงขึ้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าทั่วโลกด้วยเช่นกัน 90 วันอันตราย

          ข่าวดีสำหรับทุกคนคือการประกาศล่าสุดจากทำเนียบขาวว่ามีการยืดระยะเวลาการเจรจาเรื่องข้อตกลงทางการค้ากับทุกประเทศเป็นเวลา 90 วันโดยระหว่างนี้จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ 10 เปอร์เซ็นต์ทุกประเทศ ยกเว้นจีนที่ปัจจุบันเพิ่มภาษีเป็น 125 เปอร์เซ็นต์

          เวียดนาม​ซึ่งเป็นชาติแรกๆที่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความพยายามในการหาทางเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่จะได้เป่าปากด้วยความโล่งใจแต่ยังเคลื่อนไหวต่อเนื่องโดยพร้อมเจรจาข้อตกลงทางการค้ารอบใหม่ทันที

          ล่าสุดโฮ ดึ๊ก ฟุก รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม และเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ณ กรุงวอชิงตัน รัฐบาลเวียดนาม ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะพิจารณาลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้เวียดนามยังให้คำมั่นที่จะสนับสนุนการลงทุนจากนักลงทุนสหรัฐฯ และจะเพิ่มความพยายามเพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกงการค้า

          ไม่นับความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่มีการปรับลดภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ ในบางประเภทก่อนหน้าการประกาศขึ้นภาษีเพื่อแสดงความตั้งใจจริง โดยลดภาษีสินค้าถึง 16 กลุ่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์ไม้บางชนิดจาก 20 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ 

          ในมุมของแบรนด์กีฬาท่าทีของสหรัฐฯที่ลดความขึงขัง และเวียดนามที่พยายามหาทางเจรจาอย่างรวดเร็ว ถือว่าพอจะทำให้หายใจคล่องขึ้นได้บ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะสบายใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยแต่ละแบรนด์ต่างจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในเวลานี้

          เพียงแต่เรื่องของการย้ายฐานการผลิตนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก แม้กระทั่งการหาฐานการผลิตสินค้าใหม่สำหรับตลาดในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย “บางบริษัทอาจจะสามารถเปลี่ยนฐานกาารผลิตใหม่สำหรับตลาดในสหรัฐฯโดยเฉพาะได้ แต่มันต้องใช้เวลายาวนานหลายปี” ไบรอัน ยาค็อบเซน แห่ง Annex Wealth วิเคราะห์ผ่านรอยเตอร์ “ราคาอาจจะเพิ่มสูงเพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นสูง มันไม่ใช่ภาพที่สวยงามเท่าไรสำหรับส่วนต่างทางกำไร”

          ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดที่ทุกฝ่ายต้องการคือการที่ชาติที่เป็นฐานการผลิตสำคัญจะสามารถหาข้อตกลงทางการค้าใหม่กับสหรัฐฯได้โดยเร็วที่สุด และหวังว่าจะไม่มีมาตรการอะไรที่รุนแรงเหมือนแผ่นดินไหวระลอกสองออกมาอีก

         เพราะแค่รอบแรกนี้ความดันก็ขึ้นกันทั้งวงการแล้ว

 

อ้างอิง

reuters.com/business/retail-consumer/sporting-goods-makers-adidas-puma-slump-after-trump-announces-tariffs-2025-04-03/

reuters.com/business/retail-consumer/us-tariffs-vietnam-would-be-blow-nike-other-sportswear-brands-2025-04-01/

theguardian.com/business/nils-pratley-on-finance/2025/apr/09/big-brands-vs-retailers-who-will-absorb-the-tariff-impact-in-their-profit-margins

finance.yahoo.com/news/tariffs-impact-major-sportswear-brands-190857763.html

sportsbusinessjournal.com/Articles/2025/04/03/tariff-hikes-hurt-nike-adidas-puma-stock-prices/

sportsbusinessjournal.com/Articles/2025/04/09/sportswear-betting-companies-rally-after-90-day-pause-on-tariffs/