นักเศรษฐศาสตร์แนะใช้ "นโยบายการเงิน-คลัง" พยุงเศรษฐกิจ

นักเศรษฐศาสตร์แนะใช้ "นโยบายการเงิน-คลัง" พยุงเศรษฐกิจ

"นักเศรษฐศาสตร์" ชี้ไทยกระทบหนัก เผชิญ 2 โจทย์ใหญ่ "กอบศักดิ์" ชี้เศรษฐกิจไทยเจอแรงต้านแรงกว่าที่คาด หวัง "นโยบายการเงิน-การคลัง" ช่วยพยุง "เศรษฐกิจไทย" เร่งด่วน

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจว่า” วันนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ภายใต้ปัจจัยท้าทายทั้ง แผ่นดินไหว มองว่ากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวให้ลดลง กว่าจะกลับมาได้ก็หลังเดือน ส.ค. - ก.ย. 2568 ทำให้การท่องเที่ยวปีนี้อาจไม่ได้โตเหมือนที่คิดไว้ว่าจะเข้ามาถึง 39.5 ล้านคน

อีกปัจจัยท้าทายคือ เรื่องการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ ที่ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% เหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาการตอบโต้ทางการค้าทั่วโลกเกิดขึ้น ซึ่งกระทบต่อภาคการส่งออก และเศรษฐกิจทั้งโลก และไทยแน่นอน

มอง กนง.มีช่องลดดอกเบี้ย30 เม.ย.

ดร.กอบศักดิ์ มองว่าภายใต้สถานการณ์นี้ มีช่องให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สามารถลดดอกเบี้ยได้ ในวันที่ 30 เม.ย.68 และมีโอกาสลงได้อีกในระยะข้างหน้า 

ดังนั้นเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจไม่ได้ดีเหมือนที่คิดจาก “แรงต้าน” Headwind ที่มาแรงกว่าที่คาดไว้ ทั้งจาก 2 เหตุการณ์ การคาดการณ์เศรษฐกิจขยายตัวที่ระดับ 3-4% ก็อาจเป็นไปได้ยากขึ้น

 “เศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้ดีอย่างที่คิด เดิมคิดว่าอยู่ที่ราว 2.5-3% จากเครื่องยนต์หลายตัวที่ไม่ได้มาตามนัด ดังนั้นเชิงนโยบายมองว่ามีช่องให้ลดดอกเบี้ยได้ในครั้งนี้ และในปีนี้อาจลงดอกเบี้ยได้มากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำไป เพราะวันนี้ความเสี่ยงเต็มไปหมด การลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง มีส่วนช่วยเศรษฐกิจให้ได้รับแรงกระตุ้นต่อเนื่อง และช่วยลดภาระหนี้ของประชาชนของเอกชนไปได้อีกระดับหนึ่ง โดยเฉพาะดอกเบี้ยบ้าน สินเชื่อใหม่ และดอกเบี้ยลอยตัว ที่จะเป็นบวกกับผู้บริโภคได้ต่อเนื่อง"

นโยบายการคลัง “พยุงเศรษฐกิจ” เร่งด่วน

ดังนั้นมองว่า ภาคการคลังควรเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ทำอย่างไรให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ตรงจุด และแก้ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องทำวันนี้ให้มากที่สุด 

อาจไม่ใช่มาตรการที่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก และทำมาตรการให้ตรงจุดให้เหมาะสมกับปัญหาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หรือปัญหาจากสงครามการค้า ประเทศไทยควรทุ่มสรรพกำลังไปหาตลาดอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐมากขึ้น เพราะทรัมป์จะอยู่กับเราต่อไปอีก 4 ปี 

ดังนั้นในช่วง 4 ปีนี้อาจเห็นนโยบายจากทรัมป์ที่เข้ามากระทบกับไทยได้ต่อเนื่อง ดังนั้นเราควรใช้โอกาสนี้ทำให้อิทธิพลของสหรัฐต่อไทยลดลงเรื่อยๆ และมุ่งหาตลาดอื่นๆ ทดแทน ทั้งตลาดอินเดีย ตลาดอาเซียนให้มากขึ้น

“เราต้องรวมสรรพกำลังเพื่อทำให้ผู้ส่งออกของเราสามารถไปส่งออกในประเทศที่ไม่ใช่สหรัฐให้ได้มากขึ้น เพื่อผ่อนหนักเป็นเบา ข้อดีวันนี้ตลาดโลกที่โตอยู่แถวเอเชีย และอาเซียน เป็นโอกาสของไทย หากเราปลดล็อกเรื่องนี้ให้ได้ ให้เราสามารถส่งออกในภูมิภาคให้มากขึ้น ทำ FTA กับบังกลาเทศ อินเดีย จะเป็นโอกาสของเรา”

เร่งสร้างความเชื่อมั่นหาทางรอดให้ไทย

นอกจากนี้ ประเทศไทยควรเปิดทางให้ FDI เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเร็วขึ้น เอื้อให้คนเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ทั้งผ่านกระบวนการแก้กฎหมายต่างๆ เพื่อลดผลกระทบจากการพึ่งพาสหรัฐให้น้อยลง เป็นโอกาสของประเทศไทยที่ต้องเปลี่ยนแปลง และเป็นโอกาสในการสร้างอินฟราสตรักเจอร์สำคัญให้เกิดขึ้นได้ รวมไปถึงการเร่งทำ MOU ใน อีอีซี ทำ MRO ที่สนามบินอู่ตะเภา สนามบิน รถไฟต่างๆ เพื่อหาทางรอดให้กับประเทศไทย

“สิ่งที่สำคัญคือ การสร้างอนาคตให้ตัวเอง และหา “ทางรอด” ให้กับประเทศ ต้องทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นว่าเราคือ คนที่จะรอด เพราะเกมนี้เป็นการเกมสร้างความเชื่อมั่น ต้องทำให้เขามั่นใจ ว่าเราจะสามารถประคองให้ประเทศไทยกลับมาได้ดี วันที่ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว เราจะไปได้ดีกว่าคนอื่นๆ นั่นคือ ชัยชนะทั้งหมดนี้เราต้องพยายามทำให้เกิดขึ้น”

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง เป็นสิ่งที่ต้องทำคู่กัน สอดประสานกัน ด้านภาคการเงิน การลดดอกเบี้ยลงทำให้เงินบาทอ่อนค่าก็เป็นสิ่งที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจต่อไปได้ ฟากการคลังก็มีหน้าที่ในการออกมาตรการต่างๆ อย่างเร่งด่วน ตรงจุดเพื่อช่วยเหลือประชาชน และมีส่วนพยุงเศรษฐกิจต่อไปได้

เหล่านี้จะเป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบา ให้ความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญ หรือผลกระทบลดลงได้ในระยะข้างหน้า เวลานี้ เป้าหมายคือ การทำให้เศรษฐกิจไทยมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสให้เจอ เพื่อหาทางรอดให้เศรษฐกิจไทย

นโยบายการเงิน-การคลังต้องช่วยเร่งด่วน

ดร.พิพัฒน์  เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP เปิดเผยว่าผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว และการขึ้นภาษี Reciprocal Tariffs หรือ ภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่ไทยโดยเรียกเก็บ 36%

หากได้รับผลกระทบมากขึ้น นโยบายการคลังและนโยบายการเงินอาจต้องเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้นคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ได้ถึง 2 ครั้ง ไปอยู่ที่ 1.5% และลดลงในปีหน้าอีก 1 ครั้งที่ 1.25% และมีโอกาสเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลงมาต่ำกว่า 1.25%

หากสถานการณ์เกิดขึ้นมาอย่างรุนแรง หรือ Reciprocal Tariffs อยู่นานกว่านั้นทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม กนง.สิ้นเดือนนี้ เม.ย.นี้ 

“คาดว่าน่าจะมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ จึงเชื่อว่าในการประชุม กนง. ครั้งนี้น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้สหรัฐปรับลดภาษีได้เร็วขึ้น แต่น่าจะช่วยซัพพอร์ตเศรษฐกิจในประเทศได้บ้าง และการส่งต่อนโยบายการเงินเชื่อว่า ในรอบนี้อาจจะเห็น ธปท.มีความเข้มงวดมากขึ้นในการที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยส่งผ่านไปการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในแต่ละธนาคารได้”

ทางเลือกของไทยที่ดีที่สุด คือ การไปเจรจา ไทยมีการพึ่งพาสหรัฐมากกว่า สหรัฐพึ่งพาไทยแน่นอน และเราสามารถให้สหรัฐได้หรือไม่ หรือจะเข้าไปเจรจาเป็นกลุ่มอำนาจในการต่อรองก็อาจจะเป็นไปได้ หรืออาจจะต้องเปิดตลาดบริการมากขึ้น”

แก้ปัญหาตรงจุดลดผลกระทบทรัมป์

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า นโยบายที่ต้องทำเร่งด่วนในเวลานี้ เพื่อลดผลกระทบจาก “ทรัมป์” มองว่าควรเป็นนโยบายที่ต้องตรงจุด นโยบายการคลัง เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อเข้ามาแก้ปัญหา และลดผลกระทบที่เกิดขึ้น จากกำแพงภาษีครั้งนี้

ทั้งในส่วนของการเจรจาการเข้ามาช่วยดูแลผลกระทบและเยียวยา ทั้งต่อธุรกิจของไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากทรัมป์ที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ทั้งจากปัญหาเลย์ออฟหลังจากนี้ภาครัฐอาจจะต้องมีมาตรการมาช่วยเยียวยาประคับประคองชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือทางการคลังในปัจจุบันถือว่ามีทรัพยากรจำกัด บนหนี้สาธารณะที่ใกล้แตะระดับ 70% โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ภายใน 2 ปี จะเข้าสู่เพดาน 70% ถือเป็นโจทย์ใหญ่ภายใต้การจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัดว่าจะทำอย่างไร 

ในภาคการการเงิน การลดดอกเบี้ยลงมา ถือเป็นการช่วยลดภาระของประชาชน และธุรกิจลงมาได้ระดับหนึ่ง และปรับให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าได้มากขึ้น ดังนั้นมองว่าการลดดอกเบี้ยจะมีส่วนช่วยในภาพรวม ช่วยลดภาระประชาชนได้

“การลดดอกเบี้ยจะทำให้ ลดภาระฝั่งผู้กู้ลง โดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อที่ลอยตัว และสินเชื่อใหม่ และคนที่จะได้รับประโยชน์มากกว่าคือ ภาคธุรกิจที่ใช้สินเชื่อลอยตัว” 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์