‘เอฟวัน vs. โมโตจีพี’ จัดรายการไหนดีต่อประเทศไทยมากกว่า?

‘เอฟวัน vs. โมโตจีพี’ จัดรายการไหนดีต่อประเทศไทยมากกว่า?

เอฟวัน vs. โมโตจีพี MotoGP จัดรายการไหนดีต่อประเทศไทยมากกว่า? และเหนืออื่นใดคือกระแสตื่นตัวทางเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ทำให้เกิดเงินสะพัดหลายพันล้านบาท

KEY

POINTS

Key points

  • สิ่งที่น่าสนใจคือทางด้านผู้ว่ากกท. ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอย่างชัดเจน ท่าทีเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้อยู่ และมีคีย์เวิร์ดที่สำคัญออกมาว่า ”มีความสนใจรายการอื่นๆ อย่างเช่น รถยนต์สูตร 1 (เอฟวัน) อยู่ ดังนั้นเราตอบไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะต่อสัญญาหรือไม่“
  • รายได้ของเอฟวันนั้นสูงกว่าโมโตจีพีอย่างมาก ตามข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าในปี 2023 เอฟวันทำรายได้ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่โมโตจีพีทำรายได้เพียง 523 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือกรณี สตรีท ไนท์ เรซ ของประเทศสิงคโปร์ ที่จัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2008 โดยแต่ละครั้งใช้งบประมาณการลงทุนราว 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,100 ล้านบาท ในขณะที่การจัดโมโตจีพี ที่บุรีรัมย์ รัฐบาลลงทุนราว 500 ล้านบาท ภาคเอกชนร่วมสนับสนุนอีก 300 ล้านบาท
  • คำถามใหญ่จากแฟนกีฬาจำนวนมากที่จะวัดใจผู้มีอำนาจทั้งหลายคือ เป็นไปได้ไหมที่จัดการแข่งขันทั้ง 2 รายการเลยในประเทศไทย เราจะได้เป็นเจ้าภาพทั้งเอฟวันและโมโตจีพี สองสุดยอดรายการมอเตอร์สปอร์ตพร้อมๆกัน

เรียกว่าสะเทือนวงการอย่างแท้จริงสำหรับการออกตัวแรงๆของ เนวิน ชิดชอบ ประธานสนามช้างอินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ถึงข่าวทำร้ายหัวใจแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตชาวไทยว่า การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ ”โมโตจีพี“ จะจัดที่จังหวัดบุรีรัมย์ ปีหน้า (2026) เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

          ทั้งๆที่เมืองบุรีรัมย์ได้ต้อนรับเหล่าสุดยอดนักบิดระดับโลกมาต่อเนื่องยาวนานถึง 6 ครั้งตั้งแต่ปี 2018 (ยกเว้นในปี 2020 และ 2021 ที่มีสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19) และประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดทั้งในแง่ของการจัดการแข่งขัน บรรยากาศ และเหนืออื่นใดคือกระแสตื่นตัวทางเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ทำให้เกิดเงินสะพัดหลายพันล้านบาท

          ดอร์นา สปอร์ต (Dorna Sports) เพิ่งตัดสินใจที่จะใช้ สนามช้างอินเตอร์ เนชันแนล เซอร์กิต เพื่อเป็น ”สนามเปิด“ การแข่งขันติดต่อกัน 2 ปี คือในปีนี้ที่เพิ่งจบการแข่งขันลงไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และในปีหน้า 2026 ซึ่งเรียกได้ว่าสัญญาณแนวโน้มทุกอย่างกำลังดูสดใสอย่างยิ่ง

คำพูดของ พ่อใหญ่บุรีรัมย์ - ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันให้การแข่งขันกีฬาความเร็วระดับโลกมาถึงจังหวัดที่เคยเป็นเพียงเมืองทางผ่านหรือเมืองที่ถูกมองข้ามอย่างบุรีรัมย์ จนกลายเป็น Destination ระดับโลกที่แฟนความเร็วทั่วโลกและชาวไทยเองต่างต้องการเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยือนสักครั้ง - สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงรัฐบาลทันทีในฐานะปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนที่ไม่สามารถขาดได้

          ก่อนที่จะมีการแย้มพรายกันออกมาจากฝั่งรัฐบาลว่า นั่นเป็นเพราะเวลานี้กำลังมีการพิจารณาที่จะเสนอตัวให้ไทยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ตอีกรายการ ซึ่งถือเป็นรายการที่ยิ่งใหญ่และได้รับความนิยมมากกว่าด้วยอย่างการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง “ฟอร์มูลาวัน” 

          แต่คำถามที่น่าสนใจคือรายการใหญ่ระดับนี้มีความเหมาะสมกับประเทศไทยที่จะลงทุนจัดจริงหรือไม่ เมื่อเทียบกับรายการที่จัดแล้วเห็นได้ชัดเจนว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่อย่าง “ฟอร์มูลาวัน” 

          มันจะเปรียบเป็นเหมือนสุนัขที่ได้แต่เฝ้าเห่าเครื่องบินในแบบที่เนวินบอกจริงหรือเปล่า?

#SaveThaiGP เสียงจากใจคนไทย

          ลำพังเสียงของเนวิน ชิดชอบ คนเดียวถึงจะดังแต่มันจะไม่มีความหมายใดๆเลยหากไม่มีการขานรับจากผู้คน แต่การออกมาจุดพลุของพ่อใหญ่หัวใจบุรีรัมย์นั้นทำให้เกิดกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟนกีฬาชาวไทยบนโซเชียลมีเดีย

          กระแสนั้นนำไปสู่การเรียกร้องให้ #SaveThaiGP ทุกคนร่วมกันปกป้องการแข่งขันที่บุรีรัมย์ด้วย

          ทั้งนี้แม้ว่ากระแสดังกล่าวจะเบาบางและจางลงในเวลาอันรวดเร็วเนื่องจากทันทีที่มีกระแสเกิดขึ้นทางฟากรัฐบาลนำโดยนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ออกมาชี้แจงว่ายังไม่ได้

ตัดสินใจที่จะยกเลิกการสนับสนุนการจัดโมโตจีพีที่บุรีรัมย์ แต่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา ซึ่งจะต้องดูการนำเสนอตัวเลขต่างๆจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 

          โดยที่ทางฟากประธานสนามช้างอินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ก็ได้โพสต์ขอบคุณทันทีผ่านเพจ ”ลุงเนวิน“ โดยบอกข่าวดีว่า “เพลงชาติไทยยังมีโอกาสดังใน MotoGP”

          ขณะที่ทางด้าน ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยความคืบหน้าเพิ่มเติมว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพูดคุยกับทางดอร์นา สปอร์ต ผู้จัดการแข่งขันอยู่ 

          แต่สิ่งที่น่าสนใจคือทางด้านผู้ว่ากกท. ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอย่างชัดเจน ท่าทีเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้อยู่ และมีคีย์เวิร์ดที่สำคัญออกมาว่า ”มีความสนใจรายการอื่นๆ อย่างเช่น รถยนต์สูตร 1 (เอฟวัน) อยู่ ดังนั้นเราตอบไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะต่อสัญญาหรือไม่“

          โดยหากประเทศไทยตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญา มีอีกหลายประเทศที่พร้อมเสนอตัวเพื่อเป็นเจ้าภาพแทนและนั่นอาจเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

เสียงเห่าหรือเสียงโห่ร้อง

          อย่างไรก็ดีในการที่เนวิน ชิดชอบ ได้เปรียบเทียบแนวคิดในการเสนอตัวจัดการแข่งขันรถแข่งฟอร์มูลาวันว่าเหมือนการ ”เห่าเครื่องบิน“ นั้นก็เป็นการเปรียบเทียบที่อาจจะแรงจนเกินไป

          จริงอยู่ที่ประเทศไทยมีจำนวนแฟนโมโตจีพีจำนวนมาก ซึ่งส่วนสำคัญนั้นเกิดจากการพยายามอย่างไม่ลดละในการนำสุดยอดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ระดับโลกมาจัดที่ประเทศไทย จนล่าสุดเราได้เห็น สมเกียรติ จันทรา นักขับชาวไทยคนแรกที่ได้ลงแข่งขันในระดับโมโตจีพี ซึ่งเคยเป็นความฝันที่ไม่กล้าฝันลงแข่งขันในรายการ “ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์” ได้แล้ว และคาดหวังว่าจะมีนักบิดรุ่นใหม่ที่เดินตามรอยความฝันอีกมากมายในอนาคต

          แต่อีกด้านหนึ่งการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง “เอฟวัน” ก็เป็นกีฬามหาชนที่มีแฟนๆชาวไทยอีกจำนวนไม่น้อยเช่นเดียวกัน

          โดยกลุ่มแฟนของเอฟวันนั้นไม่ได้เป็นกลุ่มแฟนเดนตายสายฮาร์ดคอร์รุ่นดั้งเดิมที่ติดตามการแข่งขันมายาวนาน 20-30 ปีเท่านั้น แต่ยังเกิดกลุ่มแฟนรุ่นใหม่ที่เพิ่งติดตามการแข่งขันได้ไม่กี่ปี ซึ่งเริ่มจากการติดตามชมซีรีส์ทาง Netflix อย่าง “F1: Drive to Survive” ที่เริ่มออกฉายปีแรกในปี 2017 ก่อนจะกลายเป็นแฟนเอฟวันตัวยงไปด้วย

          อีกทั้งปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสความนิยมของรถแข่งเอฟวันนั้นสูงยิ่งกว่าโมโตจีพีมาก เป็นกีฬาที่แมสยิ่งกว่าในระดับโลก

          สิ่งที่สะท้อนถึงเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือรายได้ของเอฟวันนั้นสูงกว่าโมโตจีพีอย่างมาก ตามข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าในปี 2023 เอฟวันทำรายได้ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่โมโตจีพีทำรายได้เพียง 523 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แตกต่างกันถึง 6 เท่าตัว

          และปัจจุบัน Liberty Media ซึ่งซื้อกิจการเอฟวันก่อนพลิกโฉมกีฬาชนิดนี้ให้กลายเป็นกีฬามหาชนที่ดูเซ็กซี่น่าดึงดูมากยิ่งขึ้นด้วยกลยุทธ์ Storytelling ผ่านคอนเทนต์มากมาย ก็ได้ซื้อกิจการของโมโตจีพีมาครอบครองด้วยแล้วเช่นกัน หรือพูดง่ายๆคือทั้งสองรายการมีเจ้าของคนเดียวกันแล้ว

          หากไทยได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันเอฟวันจริง ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี และเสียงที่จะได้ยินไม่น่าใช่เสียงเห่า แต่เป็นเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของทุกฝ่ายมากกว่า

          แน่นอนคนไทยรักโมโตจีพี เรามีสมเกียรติ จันทรา แต่ในเอฟวันเราก็มีอเล็กซ์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักขับลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ผู้ใช้ธงชาติไทยบอกเชื้อชาติของตัวเองในการแข่งขันเช่นกัน

เอฟวัน ความฝันที่ไม่มีวันหมดอายุ

          แนวคิดในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งเอฟวันในไทยก็ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นแนวคิดที่มีมานานแล้วและกลับมาได้รับการพูดคุยอย่างจริงจังอีกครั้งเมื่อปีที่ผ่านมา

          ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ชาวไทยเคยได้หัวใจเต้นรัวไปกับการได้เห็นรถแข่ง RB6 ของทีมเรดบูล เรซิง และลีลาการขับของมาร์ค เว็บเบอร์ นักขับประจำทีมเรดบูล เรซิงในเวลานั้นที่มาโชว์พลังอันเร่าร้อนของรถแข่งที่แรงที่สุดในโลกบนถนนสายประวัติศาสตร์อย่างถนนราชดำเนินในงาน “Street of King”

          ในครั้งนั้นเป็นการส่งสัญญาณถึงความตั้งใจของประเทศไทยที่อยากจะได้โอกาสเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันรถแข่งสูตรหนึ่ง ซึ่งจะเป็นหนึ่งในหมุดหมายที่สำคัญไม่ใช่เฉพาะในแง่ของการกีฬา แต่รวมถึงเรื่องของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่จะได้รับผลดีตามไปด้วย

          หลังจากนั้นมีความพยายามในการหาหนทางที่จะจัดเอฟวันในไทย โดยมีการวาดฝันถึงเส้นทางสายประวัติศาสตร์ซึ่งถือเป็น “จุดขาย” แห่งหนึ่งของบ้านเราอย่างเกาะรัตนโกสินทร์ ภาพฝันนั้นไปไกลถึงขั้นการเป็นสนามแข่งที่สวยที่สุดในโลกเลยทีเดียว

          อย่างไรก็ดีการเป็นเจ้าภาพงานระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีเงินก็ไม่ใช่ทำได้ทันที และยิ่งถ้าไม่มีเงิน ไม่มีสนาม ไม่มีความพร้อมใดๆ คำถามใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องตอบให้ได้คือการลงทุนเป็นเงินมหาศาลนั้นคุ้มค่ามากพอสำหรับประเทศหรือไม่

          นั่นทำให้กระแสเอฟวันในไทยเบาบางและจางลงไปหลายปี จนเป็นเรื่องที่ถูกลืมไปแล้ว

          ก่อนที่กระแสจะกลับมาใหม่ในปีที่แล้วเมื่อมีการพบกันระหว่าง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้นกับ สเตฟาโน โดเมนิคาลี ประธานกรรมการบริหารฟอร์มูลาวัน เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสในการจัดการแข่งขันที่ประเทศไทย 

          แม้ว่าจะเป็นการบอกว่าการพบกันครั้งนี้เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ แต่ในความหมายที่แท้จริงของการเดินทางมานั้นคือการเจรจารุดหน้าไปพอสมควรแล้ว สอดคล้องกับการออกมาเปิดเผยของนายกรัฐมนตรีในเวลานั้นว่าประเทศไทย “มีความพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าภาพ” 

          ก่อนที่เรื่องราวจะมีการสานต่อมาถึงรัฐบาลยุคแพทองธาร มีการพูดถึงพื้นที่ที่จะใช้เป็นสนามแข่งว่าอาจจะเป็นย่านจตุจักรไม่ใช่เกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งมอบหมายให้นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกแบบสนามเพื่อส่งให้สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (FIA) พิจาณรา 

          เป้าหมายในใจคือปี 2027 1 ปีพอดีหลังจากที่สัญญาของโมโตจีพีฉบับปัจจุบันที่ทำไว้จะหมดลงการลงทุนและผลตอบแทน

          ในการจัดงานระดับโลกอย่างการแข่งขันเอฟวัน ซึ่งในแต่ละปีจะมีเพียงแค่ 24 เมืองทั่วโลกเท่านั้นที่ได้รับโอกาสในการเป็นเจ้าภาพนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องแลกมาด้วยการลงทุนมหาศาล

          ตัวเลขคาดการณ์แบบเป๊ะๆตอนนี้แม้แต่รัฐบาลก็ยังไม่มีใครรู้ หรือถึงรู้ก็ไม่กล้าบอกชัดเจนในเวลานี้

          สิ่งที่มีการบอกมามีเพียงความคาดหวังว่าจะสามารถ “คืนทุน” ได้อย่างรวดเร็วภายในปีแรก โดยให้เหตุผลประกอบว่าการแข่งขันเอฟวัน มีมูลค่าการลบงทุนสูงมาก เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการค้าขาย ร้านอาหาร การท่องเที่ยว รวมถึงยังจัดอีเวนต์บันเทิงในลักษณะเฟสติวัล มีการแสดงคอนเสิร์ต ซึ่งจะสามารถดึงเงินจากภาคธุรกิจบันเทิงได้

ตรงนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ Diario As สื่อต่างชาติเคยวิเคราะห์ถึงข้อดีของการจัดการแข่งขันเอฟวันเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจว่าจะเกิดผลดีดังต่อไปนี้

          • ด้านการท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยว แฟนกีฬาจากต่างประเทศ ทีมรถแข่ง สปอนเซอร์ สื่อ ทั้งหมดนี้ต้องเดินทางมาจับจ่ายใช้สอยกันในเรื่องที่พัก อาหาร การเดินทาง ของที่ระลึก สินค้าผลิตภัณฑ์และบริการของคนท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยตรง

          • โรงแรมและร้านอาหาร: โรงแรมที่พักและร้านอาหารจะล้นทะลักไปด้วยผู้มาเยือนมากมาย

          • การเดินทาง: ไม่ใช่แค่เครื่องบิน แต่รวมถึงการเดินทางในพื้นที่ รถบริการอย่างแท็กซี่ รถเช่า รถสาธารณะ (ในแบบไทยๆก็ ตุ๊กๆและมอเตอร์ไซค์วิน) 

          • สปอนเซอร์และโฆษณา: เม็ดเงินจากสปอนเซอร์จะถูกนำมาใช้ในการโฆษณา เพราะเอฟวันเป็นรายการที่มีผู้ชมากมายมหาศาลทั่วโลก 

          • การสร้างงาน: เกิดการจ้างงานชั่วคราวเพื่อรองรับการจัดการแข่งขันจำนวนมาก รวมถึงด้านการรักษาความปลอดภัย ด้านงานภาคบริการและอื่นๆ

          • ร้านค้าท้องถิ่น: สินค้าที่ระลึกและร้านค้าอื่นๆจะได้รับผลดีไปด้วยตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน

          • การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน: การจัดการแข่งขันเอฟวันอาจจำป็นต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเช่น ถนน ระบบการขนส่ง และสนาม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อเมืองเจ้าภาพ

          กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือกรณี สตรีท ไนท์ เรซ ของประเทศสิงคโปร์ ที่จัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2008 โดยแต่ละครั้งใช้งบประมาณการลงทุนราว 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,100 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์อุดหนุนงบประมาณร้อยละ 60 หรือประมาณ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เหลืออีกร้อยละ 40 มาจากภาคเอกชน

          ตามข้อมูลสถิติแล้วมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมการแข่งขันเอฟวันที่สิงคโปร์ราว 550,000 คนต่อปี ทำรายได้จากการท่องเที่ยวได้ราว 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่นับมูลค่าสื่อ (Media value) ที่ได้อีกราว 70-75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่จะได้ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์และความสวยงามของประเทศไทยไปทั่วโลกด้วย

          ถ้าจัดแล้วขาดทุนหรือจัดแล้วไม่ดี สิงคโปร์คงไม่ต่อสัญญายาวเป็นเจ้าภาพเอฟวันไปถึงปี 2028 หรอกจริงไหม

          อย่างไรก็ดีประเทศไทยกับสิงคโปร์มีความแตกต่างกันในหลากหลายด้าน มีปัจจัยแวดล้อมที่จะต้องนำมาประกอบการพิจารณามากมาย เอาแค่พื้นที่ที่จะใช้ในการจัดการแข่งขัน หากเป็นสวนจตุจักรจริงจะต้องมีการปรับพื้นผิวถนนใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับการแข่งขัน รวมถึงการปรับสภาพแวดล้อม ภูมิทัศน์ ไปจนถึงการสร้างอัฒจันทร์สำหรับผู้ชมเพื่อรองรับผู้ชมราว 500,000 คนที่จะเดินทางมาจากทั่วโลก

          ตรงนี้เองที่จะถูกนำไปเทียบกับการจัดโมโตจีพีที่บุรีรัมย์ ซึ่งลงทุนจนเสร็จสมบูรณ์มานานแล้ว ไม่ใช่แค่กรุยทางแต่ลุยแผ้วถางทางมาจนไกลแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว ติดตลาดแล้ว และควรจะได้ใช้โอกาสนี้ต่อยอดมากกว่า

          สำคัญที่สุดคือตัวเลขเม็ดเงินในการลงทุนที่น้อยกว่ามาก แค่สนับสนุนงบประมาณปีละ 500 ล้านบาท ภาคเอกชนเข้ามาเติมอีกราว 300 ล้านบาท แต่สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า 5,000 ล้านบาท

          เรียกว่าโมโตจีพีลงทุนน้อยแต่ได้มาก แต่เอฟวันลงทุนมากจะได้กลับมาเท่าไร และจะได้อะไรบ้างยังไม่มีใครรู้แน่ชัด

          มองแบบนี้ ไม่อยากให้ทิ้งไทยจีพีที่บุรีรัมย์เหมือนกัน

คำถามวัดใจ จัดควบเลยได้ไหม?

          คำถามใหญ่จากแฟนกีฬาจำนวนมากที่จะวัดใจผู้มีอำนาจทั้งหลายคือ เป็นไปได้ไหมที่จัดการแข่งขันทั้ง 2 รายการเลยในประเทศไทย เราจะได้เป็นเจ้าภาพทั้งเอฟวันและโมโตจีพี สองสุดยอดรายการมอเตอร์สปอร์ตพร้อมๆกัน

          เรื่องนี้คำตอบแบบซื่อๆคือเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะมีหลายประเทศทั่วโลกที่มีการจัดทั้ง 2 รายการ เช่น สหราชอาณาจักร, เนเธอร์แลนด์ หรือกาตาร์ ขณะที่บางประเทศก็จัดในสนามแข่งแห่งเดียวกันด้วยซ้ำ

          แต่แน่นอนว่ามันเป็นความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง หรือมีความพร้อม มีประสบการณ์มากนักอย่างไทย 

          ฝั่งโมโตจีพีไม่มีอะไรน่าห่วง พิสูจน์ให้เห็นกันมาหลายปีแล้วว่านอกจากจะ ”เอาอยู่“ ยังจัดงานได้ ”ดูดี“​ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศได้สบายๆ แต่ฝั่งเอฟวันนั้นต้องมาดูกันอีกเยอะ ไม่ใช่แค่ใครจะเป็นเจ้าภาพเป็นแม่งาน แต่รวมถึงการหาสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนด้วยซึ่งเม็ดเงินนั้นมากมายมหาศาลกว่างานโมโตจีพีมาก

          สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ บริษัทห้างร้านจะมีกำลังพอจะช่วยกัน ”ลงขัน“ เพื่อจัดงานใหญ่พร้อมกันไหวไหม?

          และสุดท้ายคือรัฐบาลไหวไหม? หากต้องสนับสนุนทั้งสองรายการพร้อมกัน เพราะมันไม่ได้จบแค่เรื่องของเงิน แต่มีเรื่องของคนทำงาน การประสานภาคส่วนต่างๆ จิปาถะเต็มไปหมด

          อย่างไรก็ดีสุดท้ายนี้สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นคือการหารือพูดคุยและพิจารณากันอย่างดีที่สุด โดยคิดถึงสิ่งที่ประเทศจะได้รับ คนไทยจะได้รับเป็นที่ตั้งจริงๆ ไม่มีอย่างอื่นแอบซ่อนหรือแอบแฝง

          เพราะสุดท้ายแล้วมันคือ “โอกาส” สำหรับประเทศ สำหรับคนไทย สำหรับวงการกีฬาไทย และสำหรับเศรษฐกิจไทยที่ใช้กีฬาช่วยนำทางได้

          เราดีพอสำหรับการเป็น Destination ของกีฬาระดับโลก และทุกเรื่องเราทำได้เสมอ ถ้ายอมจับมือช่วยกัน

 

อ้างอิง

bloomberg.com/news/articles/2024-04-15/ducati-boss-mega-happy-about-f1-s-liberty-media-buying-into-motogp?sref=CVqPBMVg

blackbookmotorsport.com/news/f1-revenue-q4-2024-liberty-media-motogp-february-2025/    

en.as.com/racing/how-much-money-can-f1-bring-to-the-race-city-organizer-n/ 

businesswire.com/news/home/20241231175610/en/The-Business-of-MotoGP-2024-Comprehensive-Overview-of-the-Entire-Series-Landscape-from-Sponsorship-and-Media-Rights-Revenue-Perspectives---ResearchAndMarkets.com