ทรัมป์จุดชนวนวิกฤติ ศก.โลก ธปท.เตือนค่าเงินทั่วโลกผันผวน

เวทีสมาคมเศรษฐศาสตร์ เตือนรับมือทรัมป์ “ดอน” หวั่นทั่วโลกหันใช้มาตรการสงครามการค้า กระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ “กอบศักดิ์” ชี้ผลกระทบเพิ่งเริ่มต้น จับตาลากยาวต่ออีก 4 ปี ชี้ความขัดแย้งอาจไม่กระทบเฉพาะเศรษฐกิจ “ทีดีอาร์ไอ” มองผลกระทบยังมีโอกาส เร่งหาตลาดใหม่
“สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย” จัดเสวนา Trade War 2025 จะรับมือกับ Trump อย่างไร?
โดยมีผู้แทนภาคภาครัฐ ภาคเอกชนและนักวิชาการ มาร่วมนำเสนอแนวทางการรับมือนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในหัวข้อ “ผลกระทบ Trade War ต่อธุรกิจและแนวทางการแก้ปัญหา” ว่า หากดูปัญหาสงครามการค้าพบว่าไม่เพียงสหรัฐที่เป็นผู้เริ่มในการทำสงครามการค้า โดยเริ่มขึ้นภาษี
ดังนั้น หากทุกประเทศใช้นโยบายนี้อาจทำให้ทั่วโลกกลับไปมีปัญหา ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ Great Depression เหมือนในอดีตได้
ทั้งนี้ มองผลกระทบสงครามการค้าครั้งนี้ “อาจไม่มีใครรอด” เพราะทรัมป์จงใจขึ้นภาษีทุกประเทศ โดยเฉพาะจีนที่เกินดุลสหรัฐค่อนข้างสูงทำให้ล่าสุดจีนถูกขึ้นภาษีนำเข้าถึง 20%
เช่นเดียวกันแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งการที่เริ่มจาก 3 ประเทศ เพราะปัญหาอพยพเข้าเมือง และปัญหาเสพติด ขณะเดียวกันมองว่าไทยเกินดุลสหรัฐมากขึ้นอาจอยู่ในเป้าหมายของสหรัฐ
ในด้านการติดตามตลาดเงินตลาดทุน พบว่าจาก “นโยบายทรัมป์ 2.0” ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะ 6 เดือนหลังก่อนทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่พบว่าอัตราแลกเปลี่ยนหลายประเทศผันผวนค่อนข้างมาก ที่ถือเป็นด่านหน้าที่ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงิน ตามมาด้วยตลาดหุ้นที่ผันผวนเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะ 3 ประเทศ ที่มีการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ คือจีน แคนาดา และเม็กซิโก้ที่พบว่า อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนและอ่อนค่าขึ้น สะท้อนจากผลกระทบจากสงครามการค้า ที่มีผลกระทบชัดเจนต่อตลาดเงินตลาดทุน ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐ ที่ตลาดเริ่มกังวลว่า จากการทำนโยบายของทรัมป์ อาจทำให้สหรัฐเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าในบางช่วงจากการคาดการณ์ของตลาดที่มองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจมีการลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้งปีนี้
ทั้งนี้ มองว่าประเทศไทยเอง เพื่อลดผลกระทบจากเทรดวอร์ หรือจากนโยบายทรัมป์ โดยมี 3 ด้านที่เป็นสิ่งสำคัญ อันดับแรกคือการสร้ามความเข้มแข็งจากภายในประเทศ แม้เศรษฐกิจโลกแย่ลง เข้าสู่ภาวะถดถอยแต่หากดูแลตัวเองให้มีความเข้มแข็งได้หันมาพึ่งพาการบริโภคภายในต่างมากขึ้น
ถัดมาคือ การดูแลเสถียรภาพด้านต่างประเทศมากขึ้น ดูแลเงินทุนไหลออก ดูแลไม่ให้เกิดการกู้ยืมสกุลเงินต่างประเทศมากจนเกินไป หรืออัตราแลกเปลี่ยนต่างๆ เหล่านี้อาจลดผลกระทบจากเงินทุนเคลื่อนย้ายได้
สุดท้ายคือ การใช้ประโยชน์จากการค้าในภูมิภาค จากข้อตกลงทางการค้าต่างๆ โดยเฉพาะในอาเซียนที่กำลังเป็นภูมิภาคที่กำลังเติบโตได้ดี เพื่อหาโอกาสในการส่งออกไปอาเซียนมากขึ้น
“กอบศักดิ์” เตรียมรับมือความผันผวน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) กล่าวว่า จากปัญหาเทรดวอลล์ครั้งนี้ มองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมใจ และเตรียมรับมือความผันผวนที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ โดยหากดูผลกระทบในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นแล้ว
โดยดูดัชนีดาวโจนส์เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ ส.ค.ปีก่อน และพบว่าดัชนีดาวโจนส์ และ Nasdaq ติดลบเล็กๆ และเริ่มติดลบเยอะขึ้นช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Nasdaq ติดลบ 8%
ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) เพิ่มขึ้นไป 7% จากระดับ 102-103 ไปอยู่ที่ 110 และอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 102 สะท้อนให้เห็นว่าทุกตลาดปั่นป่วนหมด ยกเว้นราคาทองคำที่ค่อนข้างเสถียรและเพิ่มขึ้นจากไปอยู่ที่ระดับ 2,950-3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สุดท้ายแล้วมองว่า ครั้งนี้ความขัดแย้งไม่ใช่แค่เพียงด้านเศรษฐกิจ แต่ความขัดแย้งเป็น multidimensional ที่เป็นความเสี่ยงจากหลายมิติ ที่จะลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นำไปสู่การต่อสู้ และสุดท้ายอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระดับประเทศอย่างแท้จริง แม้ทรัมป์ไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว แต่ความขัดแย้งเหล่านี้จะอยู่ต่อไป
สิ่งที่เห็นขึ้นแล้ว คือความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ของการรับตำแหน่งของทรัมป์ มองว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้จะยิ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และมรสุมจะอยู่กับเราไปอีก 4 ปีหลังจากนี้ ฉะนั้นเรากำลังอยู่ท่ามกลางความผันผวนที่แรงกว่าเดิมหลายเท่า
“มรสุมลูกนี้ จะอยู่กับเราไป 4 ปี ไม่ได้มา 2 วันแต่จะมา 4 ปี ฉะนั้นคลื่นลมก็จะแรงท่ามกลางความผันผวนเหล่านี้สินทรัพย์หลายประเภทจะผันผวนไปมา ยากจะเห็นทิศทาง ตอนนี้สมรสุมเข้า การลงทุนไม่เหมือนก่อน 20 ม.ค.แล้วขณะนี้การลงทุนทุกันทุกคืน ผลตอบแทนอาจไม่ได้มาจากตัวหุ้นที่เราซื้อหรือ แอสเซสที่เราซื้อแต่มาจาก ลมปากของคนบางคนที่เป่าซ้ายเป่าขวา วันรุ่งขึ้นเราก็จะเสียหาย”
“เทรดวอร์” ฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การมาของเทรดวอร์ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่จะเพิ่มขึ้นระยะข้างหน้าทั้งต่อทั่วโลกและต่อเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ มี 3 เรื่องสำคัญ มองว่าการมาของสงครามการค้าทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ซึ่งสุดท้ายอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอลง จากผลกระทบทางการค้าของทั้งโลกที่เติบโตช้าลง และกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและประเทศที่ส่งออกไปตลาดเหล่านี้ด้วย
และสุดท้ายมองว่าประเทศต่างๆอาจค้าขายกันยากมากขึ้น โดยไทยส่งออกและนำเข้าราว 60-65% ของจีดีพี อาจถูกผลกระทบจากสงครามการค้า
ดังนั้น หากดูจากการเกินดุลกับสหรัฐ ประเทศไทยมีการเกินดุลกับสหรัฐค่อนข้างสูง ดังนั้นไทยมีโอกาสที่จะถูกตั้งกำแพงภาษีได้ และไทยอาจถูกบังคับให้เปิดตลาดมากขึ้น เช่น เนื้อหมู ข้าวโพด และอาจขอให้ไทยลดโควต้าการกีดกันทางการค้ามากขึ้นด้วย ขณะเดียวกันมองว่าภายใต้ความเสี่ยง อีกด้านเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกัน
“นอกจากการนำเข้าที่เราต้องเปิดตลาดมากขึ้นให้กับสหรัฐ ที่ทำให้ต้องนำเข้าเพิ่มขึ้น แต่การนำเข้าจากประเทศอื่น เช่น จีนที่ไม่ได้เพิ่งนำเข้ามา แต่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 4 ปีก่อน และหลังจากนี้จะเห็นการไหลบ่าเข้ามาของสินค้าจีนมากขึ้น”
ยันไทยเสี่ยงโดนสหรัฐเช็คบิลดุลการค้า
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไทยเข้าสู่เกณฑ์ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเล่นงานแน่นอน เพราะได้ดุลการค้าปี 2567 อันดับที่ 11 กว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งทรัมป์ 2.0 มุ่งย้ายฐานการลงทุนจากจีนหรือที่อื่นและให้กลับมาลงทุนในสหรัฐเพื่อได้ประโยชน์
ดังนั้นจะเห็นว่าสหรัฐดำเนินการกับประเทศที่ได้ดุลการค้าสูง รวมถึงจำกัดด้านเทคโนโลยีที่แบ่งค่ายชัดเจน โดยรัฐบาลไทยต้องหารือมากขึ้น เพราะทรัมป์จะเน้นเจรจาเป็นดีลเมคเกอร์ จากพหุภาคีเป็นทวิภาคีเป็นเจรจารายประเทศเพราะมีแรงอำนาจต่อรองมากกว่า
นอกจากนี้ จากการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ เห็นชัดเจนว่าทั้งแคนาดาโดนและเม็กซิโกโดนแล้ว 25% จากการที่เม็กซิโกพึ่งตลาดส่งออกสหรัฐ 80% เพราะโรงงานของจีนและในหลายประเทศรวมถึงญี่ปุ่นย้ายไปลงทุนในเม็กซิโกและส่งสินค้าไปสหรัฐ ดังนั้น การที่จีนโดนขึ้นภาษีอีก 10% ทำให้จีนยินดีจะตอบโต้ทุกรูปแบบ
ห่วงปี 68 การผลิตไทยต่ำสวนทางนำเข้า
ขณะที่ไทยถูกขึ้นสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ส่งผลกระทบต่ออะลูมิเนียมเพราะไทยมีตลาดใหญ่ในการส่งออกปีละเกือบ 20,000 ล้านดอลลาร์ โดยไทยต้องเร่งหาตลาดใหม่เพราะขณะนี้พึ่งตลาดสหรัฐสัดส่วน 17% ของการส่งออกทั้งหมด โดยปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 การส่งออกไปสหรัฐพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ย้อนแย้งกับดัชนีภาคการผลิตที่ลดลง
ทั้งนี้ อาจเกิดจากการสวมสิทธิ์นำเข้าสินค้าจากที่อื่นและมาแปลงร่างในไทยและส่งออกผ่านบริษัทที่จดทะเบียนในไทยหรือนำเข้าสินค้าที่เป็นชิ้นส่วน 80-90% แล้วใช้ Local Content แค่ 10% ซึ่งทรัมป์เป็นนักธุรกิจ จึงตัดตอนเพ่งเล็งทุกประเทศทำให้ไทยต้องชี้ให้ชัดเจน
“ตั้งแต่ปี 2566-2567 มาตรการปิดกั้นสินค้าจีนเข้าสหรัฐได้ผลมาก ทำให้สหรัฐไม่ใช่คู่ค้าอันดับ 1 ของจีน โดยจีนลดการส่งออกไปสหรัฐ 20% แต่ไหลทะลักเข้ามาใน 10 ประเทศอาเซียน และปีที่ผ่านมา อาเซียนนำเข้าเพิ่มขึ้นจากจีนอีก 12% กลายเป็นไทยนำเข้ามากที่สุด เพราะราคาถูก ดังนั้นปี 2568 จะเยอะมากขึ้นแน่นอน”
หวั่นอุตฯ ยานยนต์โดนภาษีกดดัน
ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมต้องยอมรับว่าโลกเปลี่ยนไป โดย 47 กลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอยู่กับไทยกว่า 50 ปี ซึ่งการจ้างผลิต (OEM) เป็น supply chain ของผู้ผลิตจากต่างประเทศ อีกทั้งอุตสาหกรรมหลักถูกกระทบหนัก เช่น ยานยนต์สันดาปภายในที่เคยผลิตปีละ 2 ล้านคัน สัดส่วนส่งออก 50% แต่ปี 2567 ยอดผลิตยอดขายลดลง 24% สูงสุดในรอบหลาย 10 ปี
นายเกรียงไกร กล่าวว่า เอกชนมีข้อเสนอภาครัฐแบ่งเป็น ระยะสั้น คือ 1.การบูรณาการข้อมูลการค้าเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การเจรจา 2.ตั้ง War Room รับมือนโยบายการค้าสหรัฐ และขยายโอกาส รวมทั้งแต่งตั้งผู้เชียวชาญเป็นทีมเจรจา 3.เข้มงวดในการบังคับใช้กฏหมาย เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากสินค้าที่เข้ามาทุ่มตบาด
ส่วนระยะยาว คือ 1.ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็ง เช่น อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพเชื่อมโยง Global Supply Chain 2.พัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
3.ปฏิรูปการศึกษาพัฒนากำลังคน รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 4.ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบและปฏิรูประบบราชการด้วยระบบดิจิทัล 5.ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน
“อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหลักๆ เช่น ยานยนต์ที่ยอดส่งออกไปสหรัฐปี 2567 ประมาณ 4.2 หมื่นคัน หากขึ้นภาษี 25% ก็จะกระทบแน่นอน ในขณะที่หมวดเซมิคอนดักเตอร์ ฮาร์ดดิสก์และชิ้นส่วนต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทอเมริกันที่มาตั้งในไทยเพื่อส่งออก ซึ่งในช่วงนี้ทั้ง บิตคอยน์ และ AI มาแรง ซึ่งต้องทำการบ้านหนัก จึงต้องแยกแยะในแต่ละกลุ่มและบริษัท”
ยื่น 7 ข้อเสนอนายกฯทำได้ทันที
นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตเอกอัคราชทูตไทยประจำสหรัฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมามักมีคำถามว่าสหรัฐจะให้อะไรกับประเทศต่างๆ แต่ยุคนี้กลับกันทรัมป์กำลังบอกว่าให้อะไรกับสหรัฐ และเป็นที่มาของการดำเนินนโยบายภาษีกับประเทศต่างๆ
ทั้งนี้มี 7 ข้อเสนอต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นเรื่องที่ลงมือปฏิบัติได้เลยคือ
1.ทำความเข้าใจทรัมป์ให้ถ่องแท้ ซึ่งเข้าใจง่ายเพราะทรัมป์คิดอะไรก็พูด เพียงอ่าน Executive Orderแต่ละฉบับจะเข้าใจวิธีทำงาน วิธีคิดว่าต้องการทำอะไร
2.ไทยใกล้ชิดกับจีนเพราะได้ประโยชน์ แต่ขอเสนอว่าอย่าใกล้ชิดเกินไปเพราะอาจเสียประโยชน์กับตะวันตก
3.ทรัมป์หายใจเข้าหายใจออกเป็นธุรกิจ การที่ขายก๊าซธรรมชาติให้อินเดียและญี่ปุ่นเป็นผลบวกที่ทำให้ทรัมป์ดูแลประเทศเหล่านี้ หากไทยต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติ จึงแนะนำให้ซื้อจากสหรัฐด้วย หรือต่อรองซื้อสินค้าลดอำนาจต่อรองถือเป็นการสร้างความนิยมไทยกับทรัมป์
4.รวบรวม/เพิ่ม/สื่อสาร สิ่งที่ไทยทำประโยชน์ให้ทรัมป์และสหรัฐ
5.ประกาศเพิ่มแผน 4 ปี โดยซื้อสินค้าล็อตใหญ่จากสหรัฐ
6.ประกาศแผน 4 ปี เพิ่มการลงทุนในมลรัฐสำคัญทางการเมือง เพราะการลงทุนเป็นโอกาสทอง เพราะการลงทุนเป็นอำนาจต่อรองในการเมืองจะเห็นว่า ญี่ปุ่นไปหาทรัมป์ตัวเลข 9 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขลงทุนในไทยมีแค่ 2.5 พันล้านดอลลาร์
7.ทำตามที่เอกชนสหรัฐเสนอในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับไทย
ส่วนวันที่ โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งบอกว่ายุคของทรัมป์เป็นยุคแบบชั่วคราว บัดนี้สหรัฐได้กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือยุคของไบเดน 4 ปีเป็นยุคชั่วคราว และทรัมป์กลับมาเป็นปกติโดยนโบายทรัมป์อาจมีจุดเปลี่ยน แต่ต้องเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่แย่ที่สุดไว้ก่อน คือมรดกของทรัมป์จะมีต่อไปหลังจาก 4 ปี
“ทรัมป์”มองจีนเป็นภัยทุกคามทุกมิติจับตาสหรัฐใช้ไต้หวันเป็นแต้มต่อรอง
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าวในหัวข้อ “มุมมองนักเศรษฐศาสตร์ต่อสงครามการค้าและแนวโน้มอนาคต” ว่า จีนเป็นประเทศเดียวที่สามารถแซงหน้าสหรัฐได้ โดยปี 2022 สหรัฐหมกมุ่นกับจีนมาก ทำให้การลงทุนไหลออกมาประเทศที่ 3 อย่างไทยเป็นสปริงบอร์ดส่งออกสู่สหรัฐ
ทั้งนี้ ส่งผลให้สหรัฐเกิดปัญหาการว่างงาน เงินเฟ้อ มาสู่สงครามการค้า 3.0 ซึ่งโจทย์ของทรัมป์ 2.0 คือจีนเป็นภัยคุกคามอันดับ 1 จะทำยังไงถึงจะลดเงินเฟ้อเพื่อลดค่าครองชีพและดึงการลงทุน เกิดการจ้างงานในสหรัฐ จึงเกิดระเบียบโลกใหม่
อาทิ คือรัฐมีอำนาจเหนือกว่าสามารถละเมิดอธิปไตย และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยวิธีคิดของทรัมป์ที่ดูตัวเลขดุลการค้า คือกลไกขับเคลื่อนนิติความมั่นคง สงครามการค้า เศรษฐกิจ และสงครามในสนามรบจริง คือเจรจา ต่อรองและแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ ปัจจุบันสหรัฐพึ่งพาไต้หวันลดลง อาจมองว่าการดิลของจีนง่ายขึ้น เพราะใช้ไต้หวันเป็นไพ่ในการต่อรองประเทศที่สุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือฟิลิปปินส์ที่ปัญหาภายในก็รุมเร้าอยู่แล้ว พึ่งพาความมั่นคงตัวเองไม่ได้เพราะอาศัยสหรัฐ
ดังนั้นทะเลจีนใต้จะกลายเป็นจุดปะทุต่อไป และเริ่มหาทางออกเช่น อินโด มาเลเซีย วิ่งเต้นเป็นโฟร์เมมเบอร์ของ BRICS เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาสหรัฐ
นอกจากนี้ อินเดียมีประชากรมุสลิมกว่า 200 ล้านคน ต่อไปนี้จะพึ่งพาการทหารจากสหรัฐมากขึ้นและลดบทบาทรัสเซีย
อีกทั้งต่อไปจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเวียดนามและเมียนมา จีนจะพัฒนา Soft Power ให้เป็น Global ในขณะเดียวกันปีนี้จีนจบเทรด Made in China 2025 และเจริญหน้าอีก 10 ปีเป็น China Standard 2035 คือภาพคนที่เตรียมความพร้อมในรอบบ้านเรา
ดังนั้น ฉากทัศน์แรกคือช้างสารชนกันเกิดสงครามการค้า 3.0 ซึ่งโจทย์ทรัมป์ คือ จะลดเงินเฟ้อ และมีวิธีคิดหลายอย่างที่จะดีล รวมถึงการร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งในที่สุดไต้หวันจะกลายเป็นไพ่ไม้สุดท้ายที่จีนต้องการคือแผนดินเพื่อรวมแผ่นดินกับจีน โดยหากวันที่สหรัฐไม่พึ่งพาไต้หวันอาจทำในสิ่งที่จีนต้องการ คือ ยอมรับจีนเดียว โดยหากทรัมป์ยอมให้จีนได้ก็เกิดการแลกเปลี่ยนได้
สำหรับผลกระทบต่อไทยหากยักษ์ใหญ่ชนกัน แบ่งเป็น 6 ข้อสำคัญ คือ
1.กำแพงภาษีสหรัฐที่สูงขค้น 10-20% ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยขาดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดสหรัฐ มูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐลดลง 2.สินค้าจีนไปขายสหรัฐได้ลดลง เพราะกำแพงภาษีกว่า 60% สินค้าเหล่านั้นจะส่งออกมาขายไทยมากขึ้น การแข่งขันในตลาดไทยรุนแรง
3.สินค้าจีนยังตกค้างและขายอยู่ในตลาดจีนทำให้สินค้าไทยที่ส่งออกไปขายในจีนต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่รุนแรง 4.ในประเทศที่ 3 ผู้ประกอบการทั้งไทย จีนและประเทศอื่นที่ต้องการตลาดใหม่ เพราะส่งออกไปสหรัฐไม่ได้ จะกลายเป็นคู่แข่งซึ่งกันและกัน
5.เงินลงทุนจากจีนมาลงทุนในไทยจะลดลง เมื่อไม่ใช่ตั๋วสำหรับนำเข้าสหรัฐโดยไม่มีกำแพงภาษีอีกต่อไป 6.เงินลงทุนสหรัฐและประเทศอื่นจะหายไป เพราะสหรัฐจะใช้มาตรการเพื่อดึงเงินลงทุนให้กลับไปลงทุนที่สหรัฐ
ในขณะที่ช้างจูบปากกัน จะส่งผลกระทบไทย 5 ข้อคือ 1.สินค้าไทยที่จะถูกขึ้นภาษีจากสหรัฐ 10-20% ส่งผลต่อความสามารถทางการแข้งขัน ทั้งสินค้าราคาถูกจากจีนเพื่อตั้งใจค้าขายในสหรัฐ
2.สินค้าไทยจะขายได้ลดลง เพราะจีนจะนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้น 3.เงินลงทุนจากจีน และจากประเทศอื่น ๆ ที่เคยมาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะจีนที่จะไปลงทุนสหรัฐ
4.เมื่อจีนกับสหรัฐค้าขายกันโดยตรงมากยิ่งขึ้น นั่งหมายถึงสินค้าจากประเทศอื่น ๆ จะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในทั้ง 2 ประเทศนี้ เพราะฉะนั้นสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่เหลือท่วมอยู่ในตลาดโลกจะเข้ามาแข่งขันกับสินค้าไทยในตลาดของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
5.ในมิติความมั่นคง หากสหรัฐและจีนสามารถตกลงกันได้ในกรณีช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเรดาห์ของจีนจะหันมาในทะเลจีนใต้มากขึ้น ซึ่งไทยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนในทะเลจีนใต้
“จีนขายของให้สหรัฐราคาถูกและนำเข้าจากสหรัฐได้ ยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีและลงทุนในสหรัฐจะวินทั้งคู่ เมื่อช้างเมคเลิฟกัน ผลกระทบไทยคือขายของสหรัฐยังเจอกำแพงภาษีแพง เงินลงทุนจากจีนไม่มา เราจะเสียส่วนแบ่งตลาด ดังนั้น ไม่ว่าจะสงครามการค้าหรือจูบปากกันอะไรก็ตามที่อยู่ตรงกลางจะดีได้อย่างไร”







