กนง.ลดดอกเบี้ยฟื้น ‘เศรษฐกิจ’ ย้ำไม่ใช่วัฏจักร ‘ดอกเบี้ยขาลง’

กนง.ลดดอกเบี้ยฟื้น ‘เศรษฐกิจ’ ย้ำไม่ใช่วัฏจักร ‘ดอกเบี้ยขาลง’

กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 2.0% หลัง “เศรษฐกิจไทย” ทรุดกว่าคาด จ่อปรับ “จีดีพีใหม่” เม.ย.นี้เหนือ 2.5% จากเป้าเดิมที่ 2.9% ชี้ภาคการผลิตติดลบต่อเนื่อง ย้ำลดครั้งนี้ไม่ใช่วัฏจักรขาลง รับนำข้อเรียกร้องคลัง - นายกฯ มาพิจารณาดอกเบี้ย

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งที่ 1 ปี 2568 คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% มาอยู่ที่ 2.00 ต่อปี

โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 1 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. หลักๆ มาจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการผลิตอุตสาหกรรม ที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก

แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ และการท่องเที่ยว กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งรองรับความเสี่ยงด้านต่ำที่ชัดเจนขึ้น

ขณะที่กรรมการ 1 คน เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะให้น้ำหนักมากกว่ากับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นระยะข้างหน้า

ส่วนการลดดอกเบี้ยของ กนง.นั้น ไม่ใช่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง หรือ Easing Cycle แต่การปรับลดดอกเบี้ยลดลง มาจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่มีการปรับตัวลดลงกว่าที่ประเมินไว้ที่ 2.9% ในปี 2568

รวมไปถึงการประเมินไปถึงความเสี่ยงที่มองเห็นในระยะข้างหน้า ทำให้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ประเมินไว้ทั้ง 3 ด้าน ทั้ง จากเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน ทั้งนี้มองว่าการปรับลดดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 2.0% ถือเป็นระดับที่สมดุล และเป็นระดับที่สามารถรองรับความเสี่ยงได้ ที่จะมีในอนาคตได้

โดยเศรษฐกิจไทยที่ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนนี้ กนง. เตรียมจะปรับประมาณการอย่างเป็นทางการ 30 เม.ย.68 โดยคาดลงมาอยู่เหนือ 2.5% จากระดับเดิมที่คาด 2.9% มองภายใต้เศรษฐกิจไทยที่คาดอยู่เหนือ 2.5% มีการประเมินความเสี่ยงจากความผันผวนจากสถานการณ์การค้าโลกไปแล้ว รวมถึงการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้ากับจีนเพิ่มอีก 10% เป็น 20% รวมถึงมีการรวมผลของมาตรการแจกเงินหรือดิจิทัลวอลเล็ต หรือแจกเงิน 10,000 บาทไว้ในประมาณการบางส่วนแล้ว

อย่างไรก็ตามมองว่า การจีดีพีที่ต่ำลงกว่าคาดนั้น ส่วนหนึ่งมาจากภาคการผลิตที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยติดลบมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ในปัจจุบันยังไม่สะท้อนการผลิตที่ฟื้นตัวขึ้น แต่การส่งออกที่มากขึ้นมาจาก “สต๊อกเก่า” ที่ผลิตก่อนหน้านี้

ดังนั้น กนง.ควรให้ติดตาม ภาคการผลิตที่อาจถูกกดดันต่อเนื่อง โดยเฉพาะ SMEs ที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย

ส่วนประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ย มองว่า ขณะนี้ปัญหาของเศรษฐกิจไทยที่เติบโตค่อนข้างต่ำ มาจากทางด้านอุปทาน ด้านการผลิตเป็นสำคัญ และส่วนใหญ่มาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นอาจต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ จึงถือเป็นการช่วยในด้านต้นทุน รวมถึงภาระการเงินที่ตึงตัวให้บรรเทาลงได้ รวมถึง จะช่วยลดภาระของลูกหนี้ลงได้บ้าง 

กนง.รับนำข้อเรียกร้องคลัง-นายกฯ มาพิจารณาใน กนง.

ทั้งนี้ กรณีที่มีคำถามว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ มาจากแรงกดดันทางการเมืองหรือไม่นั้น เลขาฯ กนง. กล่าวว่า ในส่วนของ Input หรือข้อมูลที่ได้รับจากทางภาคการเมือง และภาคธุรกิจนั้น ก็ถือเป็นสิ่งที่ กนง. นำมาประกอบการพิจารณา เพื่อนำมาประเมินภาพที่ กนง. มองครบถ้วนหรือไม่ ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติ ที่คงต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน และนำข้อมูลดังกล่าวเข้ามาประเมิน

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ารัฐบาลมีการส่งหนังสือมายัง ธปท. เกี่ยวกับความเห็นเกี่ยวกับดอกเบี้ยนโยบายนั้น ส่วนนี้ กนง. กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งขณะนี้ ธปท.ได้รับเพียงข้อมูลที่ออกมาจากสื่อเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การปรับลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 2.0% มองว่าจะรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใดนั้น กนง.มองว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ กนง.มีการหารือกันค่อนข้างมากในที่ประชุมของ กนง. ในแง่ของขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินหรือ Policy space ว่าหากลดดอกเบี้ยลงแล้ว จะสามารถรองรับความเสี่ยงต่างๆ ได้น้อยแค่ไหน

ซึ่งต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน Policy space ของไทยมีไม่มากนัก หากเทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นครั้งต่อไป กนง.คงต้องให้น้ำหนักกับ Policy space มากขึ้น เพราะครั้งนี้เราเสีย Policy space ไปแล้วครั้งหนึ่ง มาจากการชั่งน้ำหนักแล้วกับเรื่องเศรษฐกิจ แต่ครั้งนี้ กนง.คิดว่าเหมาะสมในภาพรวม ที่จะลดดอกเบี้ยลงไปได้

เงินเฟ้อต่ำไม่ได้ส่งสัญญาณเกิดภาวะเงินฝืด

สำหรับภาพเงินเฟ้อ ที่กนง.ประเมินว่า ปีนี้เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.1% และปีหน้าที่ 1.2% ภายใต้กรอบเงินเฟ้อที่ 1-3% ซึ่งมองว่าระดับดังกล่าว ถือเป็นระดับใกล้เคียงกับค่ากลาง และเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำ มาจากประเด็นด้านอุปทาน

แต่ไม่ได้สะท้อนเรื่องของดีมานด์หรืออุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ เพราะหากดูอุปสงค์ในประเทศส่วนใหญ่ยังโตได้ดี ดังนั้นความกังวลด้านเงินเฟ้อต่ำ และความกังวลด้านเงินฝืดคงไม่ใช่ประเด็น และหากเงินเฟ้อไม่ได้ปรับตัวสูงมากในระยะนี้ มองว่าจะมีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ กนง.ให้ติดตาม แนวโน้มการขยายตัว และคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มเปราะบาง รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนจากความไม่แน่นอนของนโยบายประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมถึงให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลก และการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด

เปิดเหตุผล กนง.ลดดอกเบี้ย

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้มาจาก 1.เศรษฐกิจมีความเสี่ยงขาลงมากขึ้น เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวไม่ตามที่คาด ต้องการแรงส่งจากมาตรการทางการเงิน 2.กนง.ห่วงภาคการผลิต โดยเฉพาะของถูกจากจีนทะลักเข้ามากระทบ SME ที่แข่งไม่ได้ 3.เงินเฟ้อระยะสั้นเสี่ยงไม่ถึงกรอบ 4.ภาวะการเงินตึงตัว 

ดังนั้น มองปัจจัยหลักในการลดดอกเบี้ยรอบนี้ เพื่อช่วยลดความตึงตัวของภาวะการเงินโดยไม่กระทบต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว จากความเป็นห่วงของ ธปท.ในเรื่องหนี้ครัวเรือน สินเชื่อที่หดตัว ครัวเรือนรายได้ยังไม่ฟื้นเต็มที่ และหนี้สูง ดังนั้นการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยบรรเทา และไม่น่าทำให้หนี้กลับมาเพิ่มขึ้นได้เหมือนที่กังวลไว้

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก และมีอิสระมากพอที่จะดำเนินนโยบายที่ไม่ตามทั้งเฟด และคำเรียกร้องทางการเมือง แต่อยากให้สื่อสารให้ชัดเจนว่าเราควรดูปัจจัยอะไรบ้าง 

กนง.ลดดอกเบี้ย กดบอนด์ยีลด์ร่วงหนัก

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า หลัง กนง.ลดดอกเบี้ย รอบนี้ บอนด์ยีลด์ไทย 10 ปี ปรับตัวลงอีก มาอยู่ที่ระดับ 2.17% จากก่อนหน้าที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 2.25% จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนสถาบันต่างชาติเป็นหลัก นับว่าบอนด์ยีลด์ไทย 10 ปี ปรับลงรอบนี้ มากกว่าคาดไว้ทั้งปีนี้ 2.20% ยังต้องติดตามในระยะข้างหน้าอาจปรับมุมมองใหม่

สำหรับสาเหตุมาจากตลาดคาดว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยรอบนี้ไว้แล้ว และมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีกในปีนี้อยู่ที่ 1.5-1.75%

รวมถึงหากมีประเด็นสงครามการค้าสหรัฐช่วงเดือน มี.ค.- เม.ย. และตลาดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอาจมีปัญหาจากการลดแรงงานข้าราชการอาจกระทบการลดแรงงานภาคเอกชน ทำให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยปีนี้มากกว่าคาด ยิ่งกดดันบอนด์ยีลด์สหรัฐ และไทยลงอีก 

ทั้งนี้ คาดบอนด์ยีลด์ไทย 10 ปี อาจลงไปถึงระดับ 2% แต่หากมีสัญญาณเฟดไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยได้ตามที่คาดบอนด์ยีลด์สหรัฐ และไทย มีโอกาสเด้งกลับขึ้นได้เช่นกัน

ลดหนี้สะสม “เอสเอ็มอี” กว่า 3.15 ล้านล้าน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ถือเป็นข่าวดีของภาคเอกชน เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว มีส่วนช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งจากข้อมูลหนี้ภาคธุรกิจ SMEs ณ ไตรมาส 4 ปี 2567 มียอดคงค้างหนี้สะสมอยู่ที่ 3.15 ล้านล้านบาท ถือว่ายังอยู่ในระดับที่สูงมาก

ดังนั้น การลดอัตราดอกเบี้ยนี้มีส่วนช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งมีผลในเชิงจิตวิทยาทำให้ผู้ประกอบการมีกำลังใจมากขึ้นจากภาระทางการเงินที่ลดลง ขณะเดียวกันก็มีผลเชิงบวกต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคเช่นกัน

“นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่า ซึ่งเป็นผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้สินค้าส่งออก ซึ่งไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 56.7% ของ GDP”

ลดดอกเบี้ยช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยขอขอบคุณคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติ 6 ต่อ 1 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.00% ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่กำลังซื้อภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

รวมถึงภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME ยังเผชิญต้นทุนทางการเงินที่สูง ดังนั้น การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระต้นทุนของภาคเอกชน สร้างบรรยากาศการลงทุน รวมถึงช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน

อย่างไรก็ตาม นอกจากมาตรการลดดอกเบี้ยแล้ว หอการค้าฯ ยังอยากเห็น มาตรการเสริมเพื่อช่วยให้ SMEs และภาคธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากในปัจจุบัน แม้ดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุน แต่หากเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อยังคงเข้มงวด ก็อาจทำให้ SME ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงได้อย่างเต็มที่

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์