ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดใหม่ ตลาดวิตกภาษีศุลกากรทรัมป์

ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแผนภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ และเงินไหลเข้าจากกองทุนทองคำ
รอยเตอร์สรายงานภาวะตลาดทองคำโลกวันจันทร์ (24 ก.พ.) ว่า ราคาทองคำในตลาดสปอต (Spot Gold) เพิ่มขึ้น 0.4% สู่ระดับ 2,947.48 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ 13.55 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐ (18.54 GMT) โดยแตะระดับ 2,956.15 ดอลลาร์ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ของการซื้อขาย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งที่ 11 ในปีนี้
ราคาทองคำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐ(Gold Futures) ปรับสูงขึ้น 0.3% สู่ระดับ 2,963.20 ดอลลาร์
ราคาทองปรับขึ้นจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแผนภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ และมีเงินไหลเข้าเพิ่มเติมจากกองทุนอีทีเอฟ ETF ทองคำซึ่งเป็นกองทุนชั้นนำของโลก
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคมในช่วงเช้าของการซื้อขาย ทำให้ราคาทองคำแท่งไม่สูงเกินไปสำหรับผู้ซื้อที่ถือสกุลเงินอื่น
“นักลงทุนเชื่อว่าในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนข้างหน้าหรือนานกว่านั้น ราคาทองคำจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น” จิม ไวคอฟฟ์ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจาก Kitco Metals กล่าว
“ราคาทองคำที่มีแนวต้านน้อยที่สุดยังคงเคลื่อนตัวไปด้านข้างและสูงขึ้น และตราบใดที่ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ ราคาทองคำก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อไป”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เตือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากรใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ แผนดังกล่าวถูกมองว่าจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและอาจก่อให้เกิดสงครามการค้า ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น ทองคำแท่งเพิ่มขึ้น
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่มีทองคำหนุนหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กองทุนได้ถือครองทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 904.38 เมตริกตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2023
ราคาทองคำที่ยืนเหนือ 2,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดึงดูดความสนใจของนักลงทุน ทำให้เกิดความเชื่อว่า ราคาจะพุ่งต่อไปที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ โดยราคาทองคำเพิ่มขึ้นมากกว่า 12% แล้วในปี 2025
นักลงทุนจะจับตาดูรายงานดัชนีราคาการจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐ ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
การสำรวจของรอยเตอร์ส พบว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะรอจนถึงไตรมาสหน้าก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม
นอกจากนี้ ยังจะมีการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐอย่างน้อย 9 คนในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าจะตอกย้ำจุดยืนที่ระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ด้านราคาโลหะเงินร่วงลง 0.7% เหลือ 32.32 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาแพลตตินัมร่วงลง 0.7% เหลือ 962.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแพลเลเดียมร่วงลง 2.6% เหลือ 944.19 ดอลลาร์ต่อออนซ์






