กูรูยก ‘กองทุนทองคำ’ ยีลด์สูง ทางเลือกลงทุน ท่ามกลาง ‘ทรัมป์’ ป่วนโลก

กูรูยก ‘กองทุนทองคำ’ ยีลด์สูง ทางเลือกลงทุน ท่ามกลาง ‘ทรัมป์’ ป่วนโลก แนะผลตอบแทน 1 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 8-9% เน้นลงทุนระยะยาว
จากนโยบายภาษีของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอน และความกังวลต่อสงครามการค้า ดังนั้น จึงทำให้เป็นตัวกระตุ้น “ทองคำ” ที่ถือเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) ดีดตัวพุ่งขึ้นต่อเนื่อง แม้มีบางจังหวะที่ปรับตัวลงไปบ้าง แต่ทว่า “กูรู” ยังมองทองคำเป็นเทรนด์ “ขาขึ้น” ขณะที่ “กองทุนทองคำ” ผลตอบแทน 1 ปี ยังให้ยีลด์ที่สูง แต่ทว่าการลงทุนทองคำควรเน้นลงทุนระยะยาว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีเฉลี่ยอยู่ที่ 8-9%
“สมาคมค้าทองคำ” ระบุว่า สภาทองคำโลก หรือ WGC รายงาน แนวโน้มความต้องการทองคำตลอดปีที่ผ่านมา ทองคำทั่วโลกที่รวมปริมาณการซื้อขายทองคำนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ด้วยจำนวนรวม 4,974 ตัน ความต้องการทองคำทั่วโลกในปี 2567 นั้นได้รับแรงขับเคลื่อนจากการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลาง และความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดหลายครั้งในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการทองคำรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.82 แสนล้านดอลลาร์
ขณะที่ “หลุยส์ สตรีท” นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส สภาทองคำโลก คาดว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดทองคำต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอยู่ ในทางกลับกันเครื่องประดับทองคำอาจยังคงชะลอตัวต่อไป เนื่องจากราคาทองคำที่สูง และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจมหภาคน่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของปี
“ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า นโยบายของทรัมป์ในรอบนี้ทำให้ “ทองคำ” กลายเป็นสินทรัพย์ลงทุนน่าสนใจ เพราะ “เงินเฟ้อ” น่าจะปรับตัวสูงขึ้นช่วงที่ทรัมป์ยังรับตำแหน่งประธานาธิบดี รวมถึงในแง่นโยบายต่าง ๆ จะสร้างความผันผวน และความไม่แน่นอน จึงทำให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น และเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ทางเลือกที่ดีในช่วงที่สภาวะ “ตลาดทุนผันผวน”
สำหรับ กองทุนทองคำ ถือเป็นอีกทางเลือกที่นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนได้ขณะนี้ เพราะเน้นลงทุนระยะยาว หากนักลงทุนต้องการลงทุนให้เหมือนกับซื้อทองคำจริง ๆ ควรเลือกลงทุนที่มีนโยบายการลงทุนไม่เฮดจ์เป็นรูปแบบการซื้อทองคำในประเทศ โดยนักลงทุนควรมีกองทุนทองคำประมาณ 10-20%
“ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ทรัมป์มีการต่อสายโดยตรงกับ “วลาดิมีร์ ปูติน” ทำให้ความเสี่ยงด้าน Geopolitics เริ่มบางเบาลงทุน รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐ ที่มากกว่าที่คาดนำมาซึ่งความกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ย บอนด์ก็ปรับเพิ่มขึ้น กดให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ทว่าทองคำมีแรงบวกหลังจากที่ PBOC มีการทยอยเข้าซื้อทองอย่างหนัก และต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพ.ย.2567 ที่ผ่านมา ทำให้เป็นแรงหนุนทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้จะมีความกังวลเรื่องของเงินเฟ้อ แต่ทว่า Reciprocal Tax ที่จะจัดเก็บภาษีแบบตอบโต้ ยังอยู่ในช่วงเจรจาก่อนมีผล 1 เม.ย.2567 ดูเหมือนจะเป็นให้ทุกคนเข้ามาเจรจา อย่างไทยก็มีการเรียกให้เข้าไปเจรจาแล้วเช่นกัน
ขณะที่ในส่วนของน้ำมันมีอัตราการปรับตัวเร่งขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก M2 ปริมาณเงินของโลกล้น เงินเฟ้อก็ยังมาก ดังนั้น ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่ต้องมี ฉะนั้นถ้าดูผลตอบแทนในอดีตช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 8-9%
ส่วนกองทุนทองคำมีนโยบายการลงทุน 2 แบบ คือ มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน หรือ Hedging และ Unhedge ค่าเงิน คือ การไม่ป้องกันอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ หากนักลงทุนเลือกลงทุนใน Unhedge อาจจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่มองเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เนื่องจากเงินบาทจะแข็งค่าได้ไม่นาน หากนักลงทุนต้องการให้กองทุนทองคำมีความเคลื่อนไหวตามราคาโลกก็เลือกกองทุนรวมที่ Hedging ค่าเงิน หากนักลงทุนต้องการเลือกลงทุนในกองทุนทองคำปีนี้ แนะนำเลือกลงทุนแบบ Unhedge เพราะค่าเงินบาทอ่อนเทียบกับช่วงต้นปี
“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้ข้อมูลว่า แนวโน้มทองคำยังคงเป็น “ขาขึ้น” ช่วงระยะสั้นราคายังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยบวกจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง จึงทำให้นักลงทุนเข้ามาถือทองคำมากขึ้น ขณะที่ภาษีทรัมป์ที่มีการตอบโต้ที่จะขึ้นกำแพงภาษีขึ้นมาจะทำให้ความต้องการดอลลาร์ในระบบน้อยลงไปด้วย เมื่อความต้องการดอลลาร์ในระบบน้อยลงนั่นแปลว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปถือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์
สิ่งที่สื่อยังไม่ค่อยได้ออกมาตีข่าวมากนัก กับกรณีหนี้สหรัฐครบกำหนดอายุค่อนข้างมากประมาณ 25% ของทั้งหมดประมาณ 36 ล้านล้านดอลลาร์ ครบประมาณ 9.1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งการครบกำหนดในช่วงที่ทรัมป์กำลังทำสงครามการค้า บวกกับเงินเฟ้อที่ยังไม่ลงจะทำให้การโรลโอเวอร์หนี้ก้อนนี้ต้องโรลโอเวอร์ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เพราะซัพพลายในตลาดเพิ่มขึ้นสูง เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นอาจจะทำให้ไปกดดันภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ต้องประสบกับการลดประมาณการจีดีพีครึ่งหลังหรือไม่ ซึ่งมีนักลงทุนส่วนหนึ่งมองการชะลอของเศรษฐกิจ และภาระหนี้ที่สูงทำให้หันมาถือ “ดอลลาร์” ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทองคำยังเป็นขาขึ้นอยู่
สำหรับ “กองทุนทองคำ” ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยมีด้วยกัน 2 แบบๆ แรกเป็นแบบ Hedge และ Unhedged ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันแนะนำเป็น กองทุนที่ Hedge โดยนักลงทุนสามารถถือได้ในสัดส่วนประมาณ 10-15% ยังเข้าสะสมได้ แต่ทว่านักลงทุนต้องระมัดระวังเนื่องจากอัปไซด์มีค่อนข้างจำกัด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์