เอาชนะ ‘บอนด์ยีลด์’ ปั่นป่วน แนะพลัง ‘ดอกเบี้ยทบต้น’ เพิ่มพูน

ท่ามกลางตลาดหุ้นโลกผันผวนสูงตั้งแต่เดือนแรกของปี ฝั่ง “ตลาดพันธบัตร” (Bond) ทั่วโลกปั่นป่วนไม่น้อย จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) พุ่งสูงขึ้น
โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) พุ่งสูงขึ้นทำสถิติใหม่ในตลาดหลักๆ นำโดย สหรัฐ ญี่ปุ่น และ อังกฤษ นับว่าเข้าใกล้ระดับเดียวช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินในอดีต
ประกอบกับนักลงทุนกังวลว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อในระยะยาวรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้ อัตราดอกเบี้ยจะไม่ลดลงเร็วเท่าที่คาดหวังไว้ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ สามารถสนับสนุนให้ผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อ หรือความคาดหวังอัตราดอกเบี้ย
ตลาดบอนด์กำลังส่งสัญญาณวิกฤติรอบใหม่หรือไม่? เป็นคำถามในหมู่นักลงทุนเวลานี้ พร้อมเฝ้าจดจ้องท่าทีธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่จะมีการประชุมในรอบแรกของปี
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด หรือ Jitta Wealth ประเมินว่า ทั่วโลกเฝ้ายังรอการส่งสัญญาณแนวโน้มดอกเบี้ยระยะข้างหน้าของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ท่ามกลางการคาดการณ์ไตรมาสแรกเฟดอาจ “คงดอกเบี้ย” หากโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐ และเงินเฟ้อไม่เปลี่ยนแปลงจากปัจจุบัน ประกอบกับหากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยภาษีนำเข้ากับ เม็กซิโก และแคนาดา ตามที่ประกาศ ขณะที่ จีน ขึ้นไปแล้วที่ 10%
สำนักวิจัยหลายแห่ง คาดการณ์เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 2-3 ครั้งในปีนี้ ตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกไปถึงไตรมาส 4 ปี 2568 ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ประเมินจะปรับลดลงอย่างน้อย 1 ครั้ง ช่วงครึ่งแรกอยู่ที่ 2% จากปัจจุบัน 2.25%
ปีนี้แม้ทั่วโลกใช้ทิศทางนโยบายการเงินผ่อนคลาย (ยกเว้นญี่ปุ่น) แต่อยู่ท่ามกลางความผันผวนอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บวกกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนการค้าโลกในยุคทรัมป์
“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Jitta Wealth แนะนำว่า ควรรับมือกับสถานการณ์ที่ฝุ่นตลบจากปัจจัยต่างๆ รุมเร้า เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถจับสัญญาณได้ชัดเจนสินทรัพย์ใดจะกลับมาสู่ภาวะปกติก่อน อย่างน้อยการลงทุนใน “ตราสารหนี้เชิงรุก” ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น ด้วยทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นขาลง เพียงแต่ลงมากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว ทำให้ตลาดบอนด์แกว่งในช่วงระยะสั้นๆ ขณะที่ตลาดหุ้นความเสี่ยงที่สูงกว่า
มองการจัดน้ำหนักลงทุนหุ้น และบอนด์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกผันผวน ช่วยให้สามารถควบคุมความเสี่ยงจากประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ระดับหนึ่ง และพอร์ตมีความยืดหยุ่น
ฉะนั้น ใครมีพอร์ตลงทุนอยู่แล้ว แนะนำ รีบตรวจสุขภาพการเงิน และพอร์ตลงทุนยังแข็งแกร่ง เพราะจะต้องอยู่กับโลกในมือทรัมป์ไปยาวๆ 4 ปี จะเกิดอะไรขึ้นคงคาดการณ์ใดๆ ล่วงหน้าไม่ได้เลย ดังนั้น การกระจายลงทุนสินทรัพย์ที่ดีระดับน้ำหนักที่ใช่ที่เหมาะสม จะเป็นเกราะให้พอร์ตฝ่าด่านตลาดผันผวนสูงได้ดี
สูตรกระจายพอร์ตแนะนำ ลูกค้าลงทุนใน Global ETF ช่วงนี้เป็น “สูตรพอเพียง” คือ พันธบัตร ตราสารหนี้ 80% และหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นตลาดหุ้นหลักๆ ของโลกสัดส่วนลงทุน 20% ของพอร์ต สามารถลองปรับได้ตามความเหมาะสมกับตัวเองได้เลย ดังเห็นสัดส่วนแบบนี้แล้ว ใครที่ยังลงทุนหุ้นสัดส่วนสูงอยู่ แนะนำลองปรับน้ำหนักลงมาเพื่อลดความเสี่ยง
“จริงอยู่การลงทุนในพันธบัตร หุ้นกู้ ได้ผลตอบแทนน้อยเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ แต่ถ้าบริหารจัดการเงินออมให้ดีๆ ครบกำหนด แล้วยังไม่ได้ถอนเงินจากดอกเบี้ยออกไป และยังใส่เงินใหม่เข้าไปลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เชื่อหรือไม่ว่าระยะเวลาผ่านไปหลายๆ ปี เงินต้นบวกดอกเบี้ยทบต้นเพิ่มพูนรวมยอดออกมากลายเป็นพอร์ตเติบโตเป็นเงินหลักล้านทันใจ”
นี่คือ “ความมหัศจรรย์ดอกเบี้ยทบต้น” ที่ Jitta Wealth ให้คำแนะนำมาตลอด ทั้งทบทวน และศึกษาลงทุนเพื่อกระจายน้ำหนักความเสี่ยง ให้รองรับสถานการณ์โลกในแต่ละช่วงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ โอกาสลงทุนในปีนี้ยังมีอยู่สำหรับคนที่ต้องการปั้นพอร์ตสร้างความมั่งคั่งระยะยาว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







