‘เอชเอสบีซี’ มองไทย ยังมีเสน่ห์ ดึงดูด ‘นักลงทุน‘

“ธนาคารเอชเอสบีซี” ยังมองไทยมีความ “น่าสนใจ” มีโอกาสดึงเม็ดเงินลงทุนจาก “ต่างชาติ” ได้ ทั้งจากค่าแรงของไทยที่อยู่ระดับต่ำ มีโอกาสดึงการลงทุนใหม่ๆ เข้าไทย และมีจุดแข็งหลายด้าน ขณะที่ “เศรษฐกิจไทย” เติบโตต่อเนื่อง ที่ช่วยขับเคลื่อนไทยโตต่อในระยะข้างหน้า
นายเฟรดเดอริค นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัย ประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวในหัวข้อ “จับตาเศรษฐกิจเอเชียปี 2025 ท่ามกลางจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ของโลก” ว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยโลก จากนโยบายทรัมป์ 2.0 มองยังมีโอกาสสำหรับประเทศไทยรวมถึงกลุ่มอาเซียนที่จะมีโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากประเทศจีน เนื่องจากไทยมีข้อได้เปรียบในด้านค่าแรง
โดยในปี 2009 ค่าแรงของไทยคิดเป็น 110% เทียบกับจีน และปี 2023 ลดลงอยู่ที่ 70% ดังนั้น จะเห็นการลงทุนจากจีนไหลเข้าไทยต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากไทยมีการพัฒนาขีดความสามารถในอุตสาหกรรมที่หนุนการส่งออก ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ เกษตร สินค้าเกษตรพื้นฐาน และเพิ่มความหลากหลายด้านส่งออกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ หากไทยสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป มองไทยมีโอกาสที่จะเข้าถึงตลาดได้อีกมากถึง 27 ประเทศ และยังสร้างความมั่นใจให้ภาคธุรกิจมาลงทุนในประเทศไทย
ดังนั้น ไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ผลักดันอุตสาหกรรมที่ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ จากการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิต
นอกจากนั้น ประเทศในสหภาพยุโรปยังมีความต้องการสินค้า และบริการด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะ สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง สินค้าอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งถือเป็นโอกาสของประเทศไทยเช่นกัน
สำหรับ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้น ธนาคารเอชเอสบีซีคาดการณ์ว่าจีดีพีของไทยในปี 2025 จะเติบโตราว 3.3% โดยเป็นอัตราการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นจากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 2.7% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว แม้จะยังคงฟื้นตัวยังไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 โดยเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะยังคงกลับมา และความกังวลด้านความปลอดภัยจากเหตุการณ์เร็ว ๆ นี้ อาจจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก
นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากดิจิทัลวอลเล็ตที่จะส่งผลบวกต่อการบริโภคยาวไปอีก 6 เดือน และการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานที่จะเกิดขึ้น รวมถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเร็วๆ นี้ ที่มองว่าเป็นมุมมองบวกต่อจีดีพีของประเทศไทยให้จะยังเติบโตไปได้
อย่างไรก็ดี ในปี 2026 อัตราการเติบโตของจีดีพีอาจจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะลดลงมาที่ราว 2.7% เนื่องจากแรงหนุนของนโยบายกระตุ้นการบริโภคน่าจะแผ่วตัวลง
ผลกระทบจากนโยบายด้านต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา
ผลกระทบจากนโยบายภายในประเทศของสหรัฐอเมริกา เช่น การลดภาษีธุรกิจ และการลดจำนวนแรงงานต่างด้าว ในสภาวะที่เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเร็ว ๆ นี้ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ รวมถึงค่าเงินบาท
ทั้งนี้หากดูด้านผลกระทบจากนโยบายด้านกำแพงภาษี เช่น การตั้งกำแพงภาษีที่ 10% สำหรับสินค้าจากประเทศจีน อาจไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศจีนมากนัก เนื่องจากมูลค่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ มีสัดส่วนที่ราว 2.5% ของจีดีพี
ในขณะที่มูลค่าการส่งออกทั้งหมดอยู่ที่ 12.5% ของจีดีพี โดยคาดว่า หากนโยบายด้านกำแพงภาษีเกิดขึ้นจริง อาจมีผลให้จีดีพีของจีนลดลงราว 0.2 – 0.3% และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยราว 0.1 – 0.2% อย่างไรก็ดี ยังยากที่จะคาดเดาจากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน แต่มีความเป็นไปที่สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีกับประเทศอื่น ๆ อีกภายในปีนี้
นอกจากนี้ หากสหรัฐฯ มีการตั้งกำแพงภาษีกับประเทศไทยโดยตรง อาจมีความท้าทายสูงกว่าประเทศจีน เนื่องจากไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 5% ของจีดีพี ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการความเสี่ยงในภาคการส่งออกมากกว่า
พรบ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub)
สำหรับโอกาสความสำเร็จของประเทศไทยจากการมี พรบ.Financial Hub ยังมีคำถามว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน แต่การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางด้านการเงินได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเรื่องกฎเกณฑ์ที่เอื้ออำนวย ไทยควรต้องคำนึงถึงทรัพยากรบุคคลที่เพียงพอ
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย จึงมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูง
ไทยจึงต้องมองหาวิธีการดึงดูดแรงงานจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน และปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนต่อการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงินตั้งแต่เรื่องของการศึกษา ความยากง่ายของการมาทำงานที่ประเทศไทย เครือข่ายด้านการคมนาคมทั้งภายในและระหว่างประเทศ สิทธิประโยชน์ด้านวีซ่า ความสะดวกในการหาที่พักอาศัย อัตราภาษีสำหรับแรงงานชาวต่างชาติ และอื่น ๆ
นอกจากนี้ สิ่งที่ไทยควรให้ความสำคัญ คือการหาตลาดเฉพาะทางในการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เช่น ตลาดตราสาร การบริหารจัดการกองทุน การค้า และบริการคำแนะนำด้านกฎหมาย เป็นต้น







