‘แสนสิริ’ ปั้นยอดขาย 5.3 หมื่นล้าน เปิด 29 โครงการ เจาะ ‘ลักซ์ชัวรี่-พรีเมียม’

‘แสนสิริ’ ปั้นยอดขาย 5.3 หมื่นล้าน เปิด 29 โครงการ เจาะ ‘ลักซ์ชัวรี่-พรีเมียม’

‘แสนสิริ’ปั้นยอดขายโต5.3หมื่นล้าน เปิดตัว 29 โครงการใหม่ 5.2 หมื่นล้าน เจาะ ‘ลักซ์ชัวรี-พรีเมียม’ มุ่งโต “กลุ่มลูกค้า” ที่มีศักยภาพ ตอกย้ำเบอร์หนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ปีที่ผ่านมา “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ถือว่าเผชิญความท้าทายอย่างมาก ทั้งจากผลกระทบทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ก็ยังคงเห็นการปรับตัวของภาคอสังหาฯที่ยังสามารถตอบโจทย์ “ผู้บริโภค” และยังสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้

หนึ่งในนั้นคือ “แสนสิริ” ที่สามารถก้าวข้ามวิกฤติมาแล้วนับไม่ถ้วน ที่ยังคงประสบความสำเร็จอย่างมากในการบริหารธุรกิจ ทำให้ผลการดำเนินงานต่างๆ เป็นไปตามแผน และมีธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องในปี 2567 เหล่านี้ยิ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทำให้ “แสนสิริ” สามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่งคงได้ในปี 2568 นี้ ‘แสนสิริ’ ปั้นยอดขาย 5.3 หมื่นล้าน เปิด 29 โครงการ เจาะ ‘ลักซ์ชัวรี่-พรีเมียม’

นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา “แสนสิริ” ก็ยังสามารถเติบโตได้ โดยมียอดขายรวมที่ 5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 2% แม้จะไม่มาก แต่ตอกย้ำว่าแสนสิริยังสามารถเติบโตได้ ท่ามกลางความท้าทายสูงของภาคอสังหาริมทรัพย์

หากมองไปข้างหน้าปี 2568 เชื่อว่าจะเป็นปีที่ค่อนข้างท้าทายไม่แพ้ในปี 2567 ที่ถือเป็นชาเลนจ์ในหลากหลายด้าน สำหรับแสนสิริในฐานะรายใหญ่ และเป็นเจ้าตลาด พร้อมขับเคลื่อนแผนธุรกิจปี 2568 ภายใต้ “Dynamic Growth” เติบโตแข็งแกร่ง

โดยการตั้งเป้าเปิดตัว 29 โครงการใหม่ มูลค่า 52,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียม 15 โครงการ ซึ่งตั้งเป้าหมายยอดขาย 53,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6% และตั้งเป้าหมายยอดโอน 46,000 ล้านบาท เติบโต 5% หากเทียบกับปี 2567

สิ่งที่จะเห็นคือ ปีนี้แม้แสนสิริ จะเปิดโครงการน้อยลง เหลือเพียง 29 โครงการ หากเทียบกับปีก่อนที่ 43 โครงการ แต่เชิงมูลค่าต่อโครงการสูงขึ้น โดยจะเห็นการย้ายพอร์ตมุ่งไปสู่โครงการระดับ “ลักซ์ชัวรี-พรีเมียม” มากขึ้น เหล่านี้ตอกย้ำความเชี่ยวชาญของแสนสิริมากว่า 40 ปี ในการสร้างชื่อเสียง สร้างแบรนด์ ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับ “พรีเมียม” ที่มีศักยภาพสูงได้ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ แบ่งเป็น แนวราบ 14 โครงการ มูลค่า 31,600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปีที่แสนสิริบุกตลาดพรีเมียมและมีเดียมครอบคลุมทุกทำเลมากที่สุด ไฮไลต์ คือ บ้านเดี่ยวแบรนด์ “นาราสิริ” ใน 3 โครงการใหม่ ครอบคลุมมุมเมืองรอบกรุงเทพฯ อาทิ นาราสิริ บางนา กม.10 ราคาเริ่ม 60-150 ล้านบาท อยู่ใน SANSIRI 10 EAST ลักซ์ชัวรีคอมมูนิตี้ใหม่ในย่านบางนา 

 ถัดมา “DEMI” (เดมี) ลักซ์ชัวรี เรสซิเดนท์แนวคิดใหม่ หลังประสบความสำเร็จจากโครงการแรก เดมี สาธุ 49 ซึ่งตอกย้ำผู้นำตลาดอสังหาฯ ลักซ์ชัวรีไทย กับ เดมี พระราม 9 เหม่งจ๋าย ราคาเริ่ม 27.9 ล้านบาท และการกลับมาของ แบรนด์ “บุราสิริ” หลังจากลูกค้ารอคอยมานาน กับบุราสิริ จตุโชติ ราคา 13.5-25 ล้านบาท อยู่ในจตุโชติ คอมมูนิตี้ ขนาดกว่า 184 ไร่ และครั้งแรกกับเศรษฐสิริ เกาะแก้ว (ภูเก็ต) ราคา 12-20 ล้านบาท

 สำหรับคอนโดมิเนียม เตรียมเปิดตัวรวม 15 โครงการ มูลค่า 20,400 ล้านบาท เร่งขยายพอร์ตคอนโด ในเมืองและ Strategic Location คือ พีทีวาย เรสซิเดนซ์ สาย 1 มูลค่า3,000 ล้านบาท ราคาเริ่ม 6.99 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม Hidden Gem กลางเมืองโลเคชันที่หายาก มูลค่า 3,100 ล้านบาท รวมถึง คอนโด“เวีย สุขุมวิท 34” มูลค่า 1,300 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมแบรนด์ HAUS โครงการล่าสุดใน T77 มูลค่า 2,800 ล้านบาท 

นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ SIRI เปิดเผยว่า ท่ามกลางความท้าทายหลายด้าน แสนสิริเองต้องมีความยืดหยุ่นสูง และปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างผลตอบแทนด้านรายได้และกำไรในอนาคตให้เกิดขึ้นต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งหากสังเกตในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่โควิด-19 แสนสิริ ถือเป็นผู้ประกอบการรายเดียว ที่มีรายได้ และกำไรเติบโตขึ้นทุกปี สะท้อนว่า เราสามารถปรับตัวกับภาวะที่มีความท้าทายได้เป็นอย่างดี

สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจปีนี้ ด้านแรก จะมีการมุ่งไปสู่สิ่งที่บริษัทถนัดที่ลูกค้าชอบ นั่นคือ บ้านระดับลักซ์ชัวรี และพรีเมียมในทำเลใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น บางนา บรมราชชนนี สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ ที่มีดีมานด์ต่อเนื่อง

ด้านที่สอง การเร่งเปิดตัวคอนโดในกรุงเทพ เพิ่ม Backlog สนับสนุนการสร้างรายได้ระยะยาว ด้านที่สาม การขยายโครงการไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นภายใต้ Strategic Locations ไปสู่เมืองท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น ภูเก็ต พัทยา ขอนแก่น

ด้านที่สี่ การขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมทุน โดยปีนี้จะมีโครงการ Joint Venture ใหม่ 7 โครงการ มูลค่า 19,500 ล้านบาท โดยปีนี้เราได้ทำความร่วมมือใหม่กับบริษัท มิตซุยฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด ในโครงการบุราสิริ จตุโชติ และนาราสิริ บางนา กม.10

และด้านสุดท้าย การมุ่งไปสู่พันธกิจสีเขียว โดยเตรียมพัฒนา Green Living Design ในโปรดักต์ใหม่ โดยตั้งเป้าลดพลังงานสูงสุด 50% จากปีก่อนหน้าทำได้ 40%