ถอดบทเรียน ‘ฮับการเงินโลก’ สู่ ‘พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน’ ฉบับแรกของไทย

เมื่อกระทรวงการคลัง กำลังพิจารณา ‘พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน’ ฉบับแรกของไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยถอดบทเรียน ‘ฮับการเงินโลก’ มองไทยมีศักยภาพ แต่ต้องคลายกฎเกณฑ์พัฒนาบุคลากร - จุดแข็งเศรษฐกิจ
หลังจากที่ Financial Hub หรือ “ศูนย์กลางการเงิน” เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่จะเห็นรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ขับเคลื่อนในปี 2568 โดยกระทรวงการคลังคาดว่า “พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน” จะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ การตั้ง One Stop Authority และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และมิใช่ภาษี เพื่อดึงดูดธุรกิจทางการเงินต่างชาติ 8 ประเภทให้เข้ามาลงทุนในไทย
‘ฮับการเงินไทย’ อันดับ 95 ของโลก
“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” เผยแพร่รายงาน “ทำความรู้จักกับศูนย์กลางทางการเงินโลก และไทยอยู่ตรงไหน” โดยหยิบยกรายงานจาก The Global Financial Centres Index (GFCI) ที่ประเมิน ให้ “กรุงเทพฯ” อยู่อันดับที่ 95 ของโลก
กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่าเมื่อเทียบกับศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาคหรือโลก อย่างเช่น นิวยอร์กซึ่งเป็นอันดับ 1 ลอนดอน อันดับ 2 ฮ่องกง อันดับ 3 และสิงคโปร์ อันดับ 4 หรือดูไบซึ่งอยู่ในอันดับ 16 จะพบว่าอันดับของไทยยังทิ้งห่างอยู่มาก เนื่องจากเมืองศูนย์กลางทางการเงินอันดับต้นๆ เหล่านั้น ได้รับการออกแบบกฎกติกา เกณฑ์ด้านภาษี และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ ที่พร้อมสนับสนุนการเคลื่อนย้ายเงินทุน และการระดมทุนอย่างมาก
จุดแข็งของ ‘ฮับการเงินไทย’
จากสายตาของต่างชาติ ไทยถูกมองว่ามี “จุดแข็ง” หลายด้าน โดยในมิติของการค้าภายในอาเซียน “เงินบาท” เป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด รองจากสกุลเงินดอลลาร์ ในการรับชำระค่าสินค้าส่งออก และจ่ายเป็นค่าสินค้านำเข้า กับคู่ค้าในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะการค้ากับกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา
นอกจากนี้พัฒนาการของตลาดการเงินไทยที่มีความเป็นสากล มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และโลจิสติกส์ที่ดี อีกทั้งยังมีค่าครองชีพที่อยู่ในระดับที่ยังไม่สูงนัก มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย และเปิดกว้าง ดังจะเห็นได้จากภาพที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ติดอันดับโลก
InterNations ซึ่งเป็นชุมชนออนไลน์สำหรับชาวต่างชาติ ได้จัดอันดับเมืองที่น่าอยู่ และน่าทำงานที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติ ในปี 2566 พบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดอันดับ 9 ของโลกสำหรับชาวต่างชาติ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพชีวิต ค่าครองชีพ และความพึงพอใจในอาชีพการงาน ขณะเดียวกัน นิตยสาร Time Out จัดอันดับให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลกในปี 2568 โดยเน้นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาหาร และความสุขของคนในเมือง เป็นต้น
จุดแข็งข้างต้นทั้งด้านโครงสร้างดิจิทัล โลจิสติกส์ ความเป็นเมืองน่าอยู่ และมาตรฐานของสถาบันการเงินไทย ถือเป็น ‘ปัจจัยตั้งต้น’ สำหรับไทยที่ต้องการขยายบทบาทการเป็นศูนย์กลางทางการเงินในอนาคต
‘เมืองท่า’ สู่ ‘ฮับการเงิน’
ศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Center หรือ Financial Hub) หมายความถึง ศูนย์กลางของกิจกรรมทางการเงิน โดยคุณสมบัติสำคัญคือ มีสถาบันการเงินหลากหลายประเภท และมีจำนวนมาก มีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ดี มีความเชื่อมโยงกับประเทศอื่นๆ สูง ซึ่งเอื้อต่อการเติบโตของปริมาณธุรกรรมข้ามพรมแดน มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน รวมถึงมีกฎหมาย และเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวย ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดช่วยให้ศูนย์กลางทางการเงินมีความพร้อมในการให้บริการทางการเงินที่ครอบคลุม และมีความหลากหลาย
หากย้อนดูประวัติศาสตร์ของศูนย์กลางทางการเงิน 6 แห่งสำคัญทั่วโลก จะพบว่าล้วนมีวิวัฒนาการมาจากการเป็นเมืองท่าสำคัญ เช่น ฮับการเงินอันดับ 1 ของโลกอย่าง "นิวยอร์ก" มีทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของนิวยอร์กในฐานะเมืองท่าสำคัญ ช่วยส่งเสริมการเติบโตของเมืองให้เป็นศูนย์กลางการค้า จนเป็นฐานสำคัญสำหรับตลาดการเงินของนิวยอร์ก
ในแถบตะวันออกกลางอย่าง "ดูไบ" ในอดีต ดูไบเป็นจุดทางการค้าที่สำคัญในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างตะวันออกกลาง เอเชีย และแอฟริกา
ส่วนในแถบเอเชียคือ "สิงคโปร์" ซึ่งมีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์บนเส้นทางการขนส่งทางเรือที่สำคัญ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พลุกพล่านที่สุดในโลก กิจกรรมการค้าทำให้สิงคโปร์จำเป็นต้องมีการพัฒนาภาคการเงินที่แข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนการขนส่ง และพาณิชย์
รวมทั้ง "ฮ่องกง" ในช่วงการปกครองของอังกฤษ ฮ่องกงพัฒนาเป็นท่าเรือการค้าที่สำคัญ ซึ่งเป็นประตูเชื่อมระหว่างตะวันออก และตะวันตก ความใกล้ชิดกับประเทศจีน ซึ่งเป็นสื่อกลางการค้า และการลงทุนของจีน ทำให้ฮ่องกงพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าหากไทยต้องการขยายบทบาทของการเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ได้รับการตอบรับจากต่างชาติมากขึ้นกว่านี้ ยังต้องอาศัยการเร่งเพิ่มศักยภาพของแรงงานไทย การสนับสนุนให้มี Talent จากต่างชาติเข้ามามากขึ้น การลดภาษี และการผ่อนคลายเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค ควบคู่กับการพัฒนาจุดแข็งทางเศรษฐกิจของไทยประกอบด้วย ซึ่งเป็นที่มาของการออกกฎหมาย “ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจการเงิน พ.ศ…. “ ขณะที่ยังมีอีกหลายประเด็นที่ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังต้องร่วมมือกันพัฒนา เพื่อให้ไทยสามารถมีพื้นที่ยืนที่ดีขึ้นในเวทีการเป็นศูนย์กลางทางการเงินโลกอย่างแท้จริง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์