สมาคมเช่าซื้อห่วง ยอดขาย ‘รถ’ ซบยาว ชงรัฐกระตุ้นซื้อรถใหม่ ’ลดภาษี‘ยาว5ปี

สมาคมเช่าซื้อห่วงยอดขายรถดิ่ง ชงรัฐออกมาตรการซื้อ ‘รถใหม่’ ลดภาษียาว 5 ปี หวังฟื้น “ยอดขายรถยนต์” กระเตื้อง กระตุ้นผู้ซื้อถูกจุด ไม่หว่านแห-ไม่เปลืองงบรัฐ
ตลาดสินเชื่อ “รถยนต์” ถือว่าหดตัวมาต่อเนื่องช่วงที่ผ่านมา “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมินยอดสินเชื่อเช่าซื้อปี 2567 ว่าจะหดตัวมากถึง 8.5% ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ
สอดคล้องกับ “ยอดขายรถยนต์ในประเทศ” ปี 67 ที่ลดลงอย่างมากใน 2 ทศวรรษเช่นกันเพียง 5.7 แสนคัน
นายธีรชาติ จิรจรัสพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยและหัวหน้าคณะทำงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ภายใต้สมาคมธนาคารไทย เปิดภาพรวมของ “ยอดขายรถยนต์ใหม่” ในประเทศในปี 2567 ลดลงอย่างมากลงมาที่ระดับ 572,568 คัน ลดลงถึง 26.19%
ดังนั้น หากมองในปี 2568 ประเมินว่าตลาดสินเชื่อรถยนต์มีแนวโน้มอยู่ในระดับทรงตัว หรือหดตัวเล็กน้อยแต่ยังมีโอกาสเติบโตในแดนบวก หากปัจจัยลบคลี่คลายลงและได้รับแรงหนุนนโยบายส่งเสริมตลาดรถยนต์ในประเทศไทย
โดยกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 คือ กลุ่มรถยนต์ไฮบริด ซึ่งค่ายรถญี่ปุ่นเริ่มปรับ Product line ให้ครอบคลุมเป็นมาตรฐาน และค่ายรถจีน เริ่มมีการนำเข้าหรือเตรียมการผลิตรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น
แต่ตลาดรถยนต์สันดาปมีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมาที่หดตัวรุนแรง 39% ส่วนตลาดรถไฟฟ้าประเภท BEV คาดว่าปีนี้ยอดขายน่าจะเติบโตแตะ 1 แสนคันได้ จากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 7 หมื่นคัน
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อรถยนต์ในช่วง Motor Expo 2024 ที่ผ่านมาจะมีกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อที่ดีกว่าเข้ามาขอสินเชื่อ พิจารณาจากการวางเงินดาวน์ที่สูงขึ้นความสามารถในการผ่อนชำระที่ดีกว่า คือสามารถผ่อนในระยะเวลาเช่าซื้อที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่อัตราการได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่สูงขึ้น
ส่วนรถมือสอง มองว่ามีโอกาสกลับสู่การมีเสถียรภาพมากขึ้น จากสัญญาณการทรงตัวของรถที่ถูกยึดเข้าสู่ลานประมูลและราคารถยนต์ใช้แล้วที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในไตรมาสสุดท้าย
ทั้งนี้ มองว่าภายใต้มาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ก็น่าจะมีส่วนช่วยคุณภาพหนี้ปรับตัวดีขึ้น โดยพบว่ามีลูกค้าเข้ามาลงทะเบียนมากพอสมควร และมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ประมาณครึ่งหนึ่งของที่ยื่นเข้ามาทั้งหมด
ด้านการแข่งขันของตลาดสินเชื่อรถยนต์ มองว่าการเติบโตสินเชื่อมีข้อจำกัด ทั้งจากปัญหาด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อส่งผลต่อปริมาณยอดขายรถยนต์ ระดับของหนี้ครัวเรือนและปัญหาคุณภาพหนี้ ฯลฯ
เหล่านี้ส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อ รวมไปถึง ข้อจำกัดด้านรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง จากเกณฑ์กำกับหลายด้าน ดังนั้น หากข้อจำกัดต่างๆ คลี่คลายได้ อาจทำให้ตลาดรถยนต์หลุดจากวังวนปัญหาเหล่านี้ได้ ที่อาจทำให้สถาบันการเงินกลับมาปล่อยสินเชื่อรถยนต์ได้มากขึ้น
“ การแก้ไขปัญหาในตลาดรถยนต์ ต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาที่ “ตรงจุด” และไม่ควรทำในลักษณะ “หว่านแหชั่วคราว” ที่อาจส่งผลเสียต่อทั้งระบบโดยรวมได้ ดังนั้น ไม่ควรไปกระตุ้นคนที่ไม่มีกำลังซื้อ หรือไม่พร้อมในการก่อหนี้ ยิ่งทำให้ปัญหาหนี้เสียและแก้ไขกันไม่จบไม่สิ้น!
โดยส่วนตัวมองว่า มาตรการกระตุ้นที่ดี น่าจะเป็นมาตรการ “ส่งเสริมยอดขายรถยนต์” ภายในประเทศได้ในระยะยาว เช่น มาตรการให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดผ่อนชำระมาหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ในลักษณะเดียวกับที่นิติบุคคลสามารถนำรถยนต์ลงบัญชีและหักค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่าย หรือหักค่าเช่าลีสซิ่งเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้
เช่น หากซื้อรถยนต์รวมราคาประมาณ 1,000,000 บาท โดยมีการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทั้งปีประมาณ 200,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี และหากผู้ซื้อรถยนต์เสียภาษีเงินได้ในฐานภาษี 10% มูลค่าของภาษีที่ได้ลดหย่อนจะอยู่ที่ประมาณปีละ 20,000 บาท รวม 5 ปี ประมาณ 100,000 บาท
โดยมองว่าแนวทางนี้น่าจะส่งผลดีโดยรวมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ทั้งซื้อรถยนต์ที่สามารถนำค่างวดมาหักลดหย่อนภาษีได้ และยังสามารถกำหนดให้สิทธิแก่กลุ่มรถยนต์ที่ต้องการมุ่งเน้นสนับสนุน เช่นกลุ่มที่สามารถส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวม supply chain ภายในประเทศ
รวมไปถึงสามารถกำหนดกรอบเวลาให้นำค่างวดหักค่าใช้จ่ายทางภาษี ซึ่งการทยอยหักภาษีดังกล่าวจะไม่เป็นภาระเกินไปกับรัฐบาลในปีแรก แต่การกระตุ้นดีมานด์ซื้อจะเกิดขึ้นได้ในปีแรก และอาจสามารถพิจารณาเป็นโครงการระยะยาวก็ได้







