ทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา จำเป็นต้องทำบัญชีเพื่อยื่นภาษีหรือไม่ ?

ทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา รู้หรือไม่ว่า ธุรกิจบางประเภท กฎหมายกำหนดให้ต้องทำบัญชี คือ ต้องทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายด้วย เงื่อนไข รายละเอียดเป็นอย่างไร อ่านที่นี่
เรามักได้ยินอยู่เสมอว่า หากทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดาจะสบายกว่าทำในนามนิติบุคคล เนื่องจากไม่ต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย ไม่ต้องทำงบการเงินส่งกรมพัฒน์ แต่ความจริงแล้วธุรกิจบางประเภทที่ทำในนามบุคคลธรรมดา กฎหมายกำหนดให้ต้องทำบัญชี คือ ต้องทำรายงานเงินสดรับ-จ่าย เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแสดงรายได้และรายจ่าย ประกอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
โดยอ้างอิงจากประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับเงินได้ ฉบับที่ 61 ซึ่งได้กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีเงินได้ตามมาตรา 40(5) – (8) แห่งประมวลรัษฎากร ต้องจัดทำบัญชี หรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน (รายงานเงินสดรับ-จ่าย) โดยต้องมีรายการ และข้อความอย่างน้อยตามที่ประกาศอธิบดีฯ กำหนด ซึ่งสามารถอธิบายข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำรายงานเงินสดรับ-จ่าย ได้ดังนี้
ใครมีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่าย
1.เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1.1 บุคคลธรรมดา
1.2 ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล (รวมถึงวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ.2548)
1.3 ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
1.4 กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
2.มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (6) (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร
2.1 เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5)
- การให้เช่าทรัพย์สิน
- การผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน
- การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน ซึ่งผู้ขายได้รับคืนทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้น โดยไม่ต้องคืนเงินหรือประโยชน์ที่ได้รับไว้แล้ว
2.2 เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(6)
- การประกอบโรคศิลปะ
- กฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม
- วิชาชีพอิสระอื่น ซึ่งจะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดชนิดไว้
2.3 เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7)
เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ
2.4 เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8)
เงินได้จากการประกอบธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 40(1) ถึง (7) แล้ว
วิธีการจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่าย
1.การจัดทำรายงานเงินสดรับ - จ่าย จะต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเพิ่มช่องรายการให้เหมาะสมกับสภาพของกิจการได้
2.ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ - จ่าย เป็นภาษาไทย ถ้าทำเป็นภาษาต่างประเทศให้มีภาษาไทยกำกับ
3.ต้องลงรายการในรายงานเงินสดรับ - จ่าย ภายใน 3 วันทำการนับแต่วันที่มีรายได้หรือรายจ่าย
4.รายการที่นำมาลงในรายงานเงินสดรับ - จ่าย
4.1 ต้องมีเอกสารประกอบการลงรายงาน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี เป็นต้น
4.2 การลงรายการรายรับและรายจ่าย ให้ลงเป็นยอดรวมของแต่ละวันทำการ โดยมีเอกสารประกอบรายรับและรายจ่ายดังกล่าว หรือสามารถลงรายการรายรับรายจ่ายโดยลงรายละเอียดรายการของรายรับ-รายจ่ายที่เกิดขึ้น ก็สามารถทำได้เช่นกัน
4.3 รายจ่ายที่นำมาลงในรายงานเงินสดรับ – จ่าย ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ
4.4 สำหรับภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายนั้น สามารถนำมาลงเป็นต้นทุนของสินค้า หรือค่าใช้จ่ายได้ทั้งจำนวน เนื่องจากผู้ประกอบการไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
4.5 หากมีการขายสินค้า A ให้บริการ ซื้อสินค้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นเงินเชื่อให้บันทึกรายการในวันที่ได้รับชำระหรือวันที่จ่ายชำระสินค้า/บริการนั้น โดยอธิบายเพิ่มเติมในช่องหมายเหตุ
5.ให้สรุปยอดรายรับและรายจ่ายเป็นรายเดือน เพื่อใช้เป็นหลักฐาน ประกอบการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
รูปแบบรายงานเงินสดรับ–จ่าย
คำอธิบายรายงานเงินสด รับ - จ่าย
1.ช่อง “วัน/เดือน/ปี” ใช้บันทึกวันที่ เดือน และปี พ.ศ. ที่มีรายการรับเงินและจ่ายเงิน
2.ช่อง “รายการ” ใช้บันทึกรายละเอียดของรายการรับเงิน และจ่ายเงิน เช่น ขายสินค้า ค่าซื้อสินค้า ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เงินเดือน เป็นต้น
3.ช่อง “รายรับ” ใช้บันทึกจำนวนเงินที่ได้รับเข้ามา ตามรายละเอียดในช่องรายการ
4.ช่อง “รายจ่าย” เป็นการซื้อสินค้า ใช้บันทึกจำนวนเงินที่จ่ายในการซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกิจการ
5.ช่อง “รายจ่าย” เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ใช้บันทึกจำนวนเงินเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ
6.กรณีการขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ หรือซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ ให้บันทึกในวันที่ได้รับชำระ หรือวันที่จ่ายค่าสินค้านั้น โดยอธิบายเพิ่มเติมในช่องหมายเหตุ
ประโยชน์ของการจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่าย
1.เพื่อให้ผู้ประกอบการทราบถึงรายได้ รายจ่าย ผลกำไรหรือขาดทุนจากการประกอบกิจการ
2.ใช้วางแผนและควบคุมการบริหารงานภายในของกิจการ
3.ใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณายื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
4.ใช้เป็นหลักฐานในการแสดงรายได้และรายจ่าย เพื่อประกอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สรุป...ผู้มีรายได้มาตรา 40(2)-(8) กฎหมายกำหนดต้องทำบัญชีเพื่อยื่นภาษีด้วย
เมื่อกฎหมายกำหนดให้ผู้มีรายได้มาตรา 40(2)-(8) มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีเพื่อใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังงนั้น หากผู้มีรายได้มาตรา 40(2)-(8) ไม่ได้ทำบัญชีรับจ่าย หรือการทำรายงานเงินสดรับจ่ายดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting