เปิดกำไร ’10 ธนาคารพาณิชย์’ ปี 67 กำไรแตะ 2.5 แสนล้าน ‘ กสิกรไทย’ ผลงานสูงสุด

เปิดกำไร ’10 ธนาคารพาณิชย์’ ปี 67 กำไรแตะ 2.5 แสนล้าน ‘ กสิกรไทย’ ผลงานสูงสุด

เปิดกำไร 10 ธนาคารพาณิชย์ กำไรทั้งปีแตะ 2.5 แสนล้านบาท “กสิกรไทย” กำไรนำโด่งสุดในกลุ่ม ตามมาด้วย “กรุงเทพ-เอสซีบีเอกซ์-กรุงไทย หลังภาระตั้งสำรองแบงก์ลดลง จากการบริหารหนี้ที่มีคุณภาพ และสินเชื่อยังเติบโตต่อเนื่องสำหรับบางธนาคาร

เปิดกำไร ’10 ธนาคารพาณิชย์’ ปี 67 กำไรแตะ 2.5 แสนล้าน ‘ กสิกรไทย’ ผลงานสูงสุด ประกาศผลการดำเนินงานเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ “กลุ่มธนาคาร” สำหรับ 10 ธนาคารพาณิชย์ กับผลกำไรงวดปี 2567 ทั้งธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ธนาคารกรุงไทย(KTB)กลุ่มเอสซีบีเอกซ์(SCB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต(TTB)ธนาคารเกียรตินาคินภัทร(KKP)ธนาคารทิสโก้(TISCO)ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์(LHFG)ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT)

โดยหากดูผลประกอบการโดยรวม ทั้ง 10แบงก์ กำไรโดยรวมอยู่ที่ 249,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.30% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรรวมสุทธิอยุ่ที่ 232,174 ล้านบาท 

หากดูธนาคารที่ทำกำไรสูงสุดของกลุ่ม ในปี 2567 ใน3 อันดับแรก คือ กสิกรไทย กำไรสุทธิอยู่ที่ 48,598 ล้านบาท เติบโต 14.60% ถัดมา ธนาคารกรุงเทพ กำไรสุทธิ 45,211 ล้านบาท เติบโต 8.59% และ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ กำไร 43.943 ล้านบาท เติบโต 1%

ขณะที่แบงก์ขนาดกลางที่เติบโตโดนเด่นอีกแบงก์คือ ซีไอเอ็มบีไทย ที่ผลกำไรสุทธิเติบโตสูงถึง 77.69% หรือ 2,852ล้านบาทในปี 2567 นี้ 

อย่างไรก็ตาม หากดูงวดไตรมาส 4 ปี พบว่า แบงก์ที่มีกำไรสูงสุด คือ เอสซีบีเอกซ์ กำไรอยู่ที่ 11,707 ล้านบาท เติบโต 7% หากเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 6.48% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ถัดมาคือ กสิกรไทย กำไรสุทธิอยู่ที่ 10,494 ล้านบาท กำไรลดลง 12.29% แต่เพิ่มขึ้น 11.78% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และธนาคารกรุงไทย กำไรสุทธิอยู่ที่ 10,475 ล้านบาท แม้ลดลง 5.69% จากช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แต่กำไรก้าวกระโดดหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 71.41% 

ขณะที่แบงก์ขนาดกลาง และขนาดเล็กก็เติบโตโดดเด่นไม่แพ้กัน นำโดยเกียรตินาคินภัทร ที่กำรสุทธิเติบโตอย่างมาก โดยอยู่ที่ 1,406 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เติบโตขึ้น 7.74% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นถึง 109.85% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หรือ ซีไอเอ็มบีไทย ก็เติบโตดี โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 962 ล้านบาท เติบโตขึ้น 61.68% จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้น 834% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 

หากดูด้านสำรองหนี้สูญ หรือการตั้งขาดทุนด้านเครดิต พบว่าปรับลดลงอย่างมาก โดยหากดูสำรองโดยรวมปี 2567 พบว่า ทั้ง 10 แบงก์ อยู่ที่  230,749 ล้านบาท สำรองลดลง 2.11% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่สำรองโดยรวมอยู่ที่  235,721 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากดูงวดปี พบว่า แบงก์ที่มีการตั้งสำรองลดลงอย่างมาก อาทิ ธนาครกรุงเทพ สำรองลดลง 3.48%  และทิสโก้ สำรองลดลง 283% 
เช่นเดียวกันกับไตรมาส 4 ที่สำรองหนี้แต่ละแบงก์ก็ปรับลดลงเช่นกัน มาอยู่ที่53,873 ล้านบาท ลดลง 5.75% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 21.94% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ธนาคารที่สำรองหนี้ลดลงมากๆ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ สำรองลดงง 6.87% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่หากดูทั้งปี พบว่าสำรองเพิ่มขึ้น 3.96% 
กรุงไทย สำรองลดลงถึง 19.09% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 48.55% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ สำรองลดลงถึง 32.45% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 68.92% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 

โดยภาระ “ตั้งสำรอง”ที่ลดลง ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ทั้งงวดไตรมาส 4 และปี 2567 ของกลุ่มแบงก์ออกมาเติบโตอย่างโดดเด่น เพราะมีภาระการตั้งสำรองที่ลดลงอย่างมาก จากปีก่อนที่มีการตั้งสำรองไปมาก เผื่อสถานการณ์ไม่แน่นอน และครอบคลุมไปถึงการตั้งสำรองเผื่อจาก “คุณภาพหนี้”ที่อาจด้อยลง 

หากดูด้าน “คุณภาพหนี้” หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยรวมของทั้ง 10 แบงก์ พบว่า หนี้ด้อยคุณภาพอยู่ที่ 518,562 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.57% จากปีก่อนหน้า โดยแบงก์ที่หนี้เสียยังเพิ่มขึ้น อาทิ เอสซีบีเอกซ์ ที่หนี้ขยับขึ้นมาเล็กน้อยที่ 0.80% กรุงศรีฯ หนี้เสียเพิ่มขึ้น 19.82% เกียรตินาคินภัทร หนี้เสียขยับเพิ่มขึ้น 22.75% ทิสโก้ 4.62% 

แต่ก็มีบางแบงก์ที่หนี้เสียปรับลดลงต่อเนื่อง อาทิ ธนาคารกรุงเทพ หนี้เสียโดยรวมลดลง 0.14% กสิกรไทย หนี้เสียลดลง 1.31% กรุงไทย 4.37% ทีทีบี 3.10% ซีไอเอ็มบีไทย 19.08% 

กสิกรไทยกำไรนำโด่งในกลุ่ม

โดยหากดูรายธนาคารที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เช่น กสิกรไทย ที่มีกำไรสูงสุดของกลุ่มที่ 48,598 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจาก รายได้จากการดำเนินงานสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.75% เป็นผลจากการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร และการขยายตัวของปริมาณธุรกิจ
บวกกับสำรองหนี้ของธนาคารปรับลดลงอย่างมากที่ 8.85% แม้ว่าปัจจุบัน ธนาคารยังคงตั้งสำรองฯ ตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของปัจจัยต่าง ๆ

รวมถึงภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เติบโตช้าและในอัตราที่ต่ำ 
ในด้านสินเชื่อ ก็เติบโตได้ดีต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้น จากการยกระดับกระบวนการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างมีคุณภาพ 

กรุงไทยผลงานโตเด่น เฉียด20% 

ด้านธนาคารกรุงไทย ผลการดำเนินก็โดดเด่นอย่างมาก โดยรวมธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 43,856 ล้านบาท  เติบโตที่ 18.8% จากปี 2566 ที่ผ่านมา แต่หากไม่รวมรายการตั้งสำรองสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง จากคุณภาพหนี้ที่เสื่อมค่าลง กำไรสุทธิโดยรวมจะเติบโตอยู่ที่ 11.3% 
โดยกำไรที่เติบโตขึ้น

ส่วนหนึ่งมาจาก การเติบโตตามยุทธศาสตร์อย่างยั่งยืน บริหารพอร์ตอย่างสมดุล สินเชื่อโต 4.7% จัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังและยืดหยุ่น

โดย ธนาคารมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมบริหารจัดการ Portfolio อย่างสมดุล ให้ความสำคัญกับการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ และรักษา Coverage ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง 

ในด้านสินเชื่อ เติบโตอย่างมาก ที่ 4.7% จากการขยายตัวในกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่เป็นกลุ่มยุทธศาสตร์ของธนาคาร สินเชื่อภาครัฐ และการสนับสนุนนโยบายรัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และการจัดการหนี้ ตามแนวทาง Responsible Lending เช่นเดีวกันรายได้จากการดำเนินงานขยายตัว6.4 %

ส่วนใหญ่จากค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารและบริษัทย่อย ผลิตภัณฑ์ธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน รวมถึงรายได้จากหนี้สูญรับคืนสะท้อนนโยบายเชิงรุกในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการติดตามหนี้และการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายของธนาคาร 

แบงก์กรุงเทพ ภาระสำรองลดวูบ

ด้านธนาคารกรุงเทพ ผลการดำเนินก็โดดเด่นอย่างมาก  โดยมีกำไรสุทธิโดยรวมที่ 45,211 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 8.6% จากปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% จากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ
และอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ สุทธิกับต้นทุนเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3.06% 

นอกจากนี้ การที่ธนาคารให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็น 48.0 % และ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 4 ปี 2567

ธนาคารจึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงจากไตรมาสก่อน ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิต
ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับปี 2567 มีจำนวน 34,838 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน 

เอสซีบีเอกซ์ รายได้ดอกเบี้ย-สำรองลด หนุนผลงานโต

ด้านกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ กำไรสุทธิก็เติบโตดีเช่นกัน โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 43,943 ล้านบาท เติบโต 1% จากปีก่อน แต่กำไรสุทธิไตรมาส 4 เติบโตได้ถึง 6.5% ปัจจัยหนุนหลักๆมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น ที่ 3.8% จากปีก่อน จากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ  

รวมไปถึงภาระ ตั้งเงินสำรองลดลง 2.3% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอด