โบรกคาดกำไรแบงก์ปี67 พุ่ง 2.4แสนล้าน ‘กรุงเทพ-กรุงไทย-ทิสโก้’ เด่น

โบรกคาดกำไรแบงก์ปี67 พุ่ง 2.4แสนล้าน ‘กรุงเทพ-กรุงไทย-ทิสโก้’ เด่น

กลุ่มแบงก์‘กำไร’พุ่ง2.4แสนล้าน โบรกคาดปี 68 โตอีก 3% ชู ‘บีบีแอล-กรุงไทย-ทิสโก้’ เด่น “ทีทีบี” แจ้งงบกำไรพุ่ง 2.1 หมื่นล้าน รับผล “ต้นทุนแบงก์-สำรองลด 11%”

เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการปี 2567 สำหรับ “กลุ่มธนาคารพาณิชย์” (แบงก์) แม้งบจะออกมาไม่กี่ธนาคาร แต่โดยรวม ก็ถือว่าปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะงบปี 2567 ที่กำไรสุทธิออกมาเติบโตได้ต่อเนื่อง

โดยเฉพาะตัวที่เพิ่งประกาศงบไป เช่น ธนาคารทิสโก้ (TISCO) และธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ที่นักวิเคราะห์มองว่า ผลประกาศการออกมาเป็นไปตามที่ประเมินไว้

ล่าสุด ธนคารทหารไทยธนชาต (TTB) ประกาศผลการดำเนินงาน โดยไตรมาส 4 ปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,112 ล้านบาท และทั้งปีกำไรสุทธิอยู่ที่ 21,031 ล้านบาท

 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2567 ที่ออกมาถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย

โดยทีทีบียังคงยึดหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ และมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนและรายได้ให้สอดคล้องกัน พร้อมทั้งดูแลคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุก ควบคู่ไปกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ ผลจากการที่ธนาคารให้ความสำคัญ 3 ด้าน คือการบริหารต้นทุนทางการเงินผ่านการบริหารพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ

เช่น การปรับโครงสร้างสินเชื่อให้มีความเหมาะสม การเติบโตเงินฝากให้สมดุลกับแนวโน้มด้านสินเชื่อ รวมถึงการปรับกลยุทธ์พอร์ตเงินลงทุนเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดเงิน 

และท้ายสุด คือ การควบคุมต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ โดยที่ผ่านมาธนาคารเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพและเน้นกลุ่มที่ธนาคารมีความชำนาญและเข้าใจความเสี่ยงเป็นอย่างดี พร้อมกับการแก้ปัญหาหนี้เสียในเชิงรุก และให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านหลากหลายโครงการ

ซึ่งส่งผลให้ สถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์จึงมีเสถียรภาพและเป็นไปตามเป้าหมาย สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลง 5% จากปีก่อนหน้าและอัตราส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.59% จาก 2.62% ในปี 2566 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ลดลง 11% จากปีก่อน

ถือเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปี 2567 แม้ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ จะลดลง แต่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพฯ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการรองรับความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 151%

นอกเหนือจากนั้น ธนาคารยังเดินหน้าตามแผนการบริหารส่วนทุนให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นปรับโครงสร้างส่วนทุนให้มีความเหมาะสม เช่น การไถ่ถอนตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 และลดขนาดการออกตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่สำคัญคือการบริหารการใช้เงินทุนส่วนเกิน (Excess Capital) ให้เกิดประโยชน์ผ่านหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตราเงินปันผลขึ้นมาแตะระดับ 60% เทียบกับระดับ 30%-35% ในช่วงก่อนรวมกิจการ

รวมถึงการสร้างโอกาสในการเติบโตผ่านการเข้าซื้อหุ้นในกิจการที่ส่งเสริมกัน โดยปัจจุบันธนาคารได้เข้าทำ Non-Binding MOU และอยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต และบริษัท ที ลิสซิ่ง การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า ผลโดยรวมของ “กลุ่มแบงก์” โดยเฉพาะ 8 ธนาคาร คือธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ธนาคารกรุงไทย (KKP) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารทิสโก้ (TISCO) และธนาคารทหารไทยธนชาต 

โดยที่ประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว 2 แบงก์ ทั้ง TISCO และ TTB ผลประกาศการโดยรวมถือว่าเป็นไปตามที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ คาดการณ์ “กำไร8 แบงก์” ในปี 2567 โดยรวมจะอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท โดยเติบโตขึ้น 7% จากภาระสำรองที่ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่มีการตั้งสำรองไปมากสำหรับบางแบงก์ ส่วนไตรมาส 4 ที่ออกมาคาดโดยรวมอยู่ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 9% จากไตรมาสก่อนหน้า และโต13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

โดยมองบางธนาคารไตรมาส 4 กำไรลดลง ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเชิงฤดูกาล เนื่องจากไตรมาส 4 เป็นช่วงที่ภาคธนาคารที่ภาระค่าใช้จ่ายมากที่สุดของทุกปี

สำหรับปี 2568 คาดการณ์กลุ่มธนาคารน่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดกำไรสุทธิเติบโตอีก 3% แตะ 2.5 แสนล้านบาท สอดคล้องกับจีดีพีไทยที่เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยมองว่าหลักๆมาจากสำรองหนี้สูญน่าจะลดลง จากการบริหารจัดการหนี้เสียที่ค่อนข้างดี อีกทั้งมีโครงสร้าง “คุณสู้เราช่วย”ที่น่าจะหนุนให้คุณภาพหนี้โดยรวมปรับตัวดีขึ้น

ด้านกลยุทธ์การลงทุน มีมุมมองบวกสำหรับกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะ KTB และ BBL ที่มองว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเร่งลงทุนของภาครัฐและเอกชน ขณะที่ TISCO มีความโดดเด่นจากการปันผลสูง และROE ที่ถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มแบงก์ที่ราว 16% โดยให้ราคาเป้าหมาย KTB อยู่ที่ 23.4บาทต่อหุ้น BBL 180 บาท และ TISCO ที่ 102 บาท