ค่าเงินบาทวันนี้ 10 มิ.ย. 67 ‘อ่อนค่า‘ ตลาดกังวลทิศทางดอกเบี้ยเฟด

ค่าเงินบาทวันนี้ 10 มิ.ย. 67 ‘อ่อนค่า‘  ตลาดกังวลทิศทางดอกเบี้ยเฟด

ค่าเงินบาทวันนี้ 10 มิ.ย.67 เปิดตลาด “อ่อนค่า“ ที่ 36.69 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” จากเศรษฐกิจสหรัฐยังดี กังวลทิศทางดอกเบี้ยเฟดลดดอกเบี้ยไม่ถึง2ครั้ง โฟวล์ธุรกรรมขายทองช่วงปรับฐาน มองกรอบเงินบาทวันนี้ 36.80-37.00 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้" ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.90 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  36.52 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.30-37.25 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.80-37.00 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ ที่ผ่านมา เงินบาทได้ผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 36.32-36.94 บาทต่อดอลลาร์) นับตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันศุกร์  ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลง ตามรายงานเงินทุนสำรองของธนาคารกลางจีน (PBOC) ซึ่งสะท้อนว่า PBOC ได้ชะลอการเข้าซื้อทองคำ ก่อนที่เงินบาทจะผันผวนอ่อนค่าลงเร็วและแรง 

หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) สหรัฐฯ รวมถึงอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ออกมาสูงกว่าคาด กดดันให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ไม่ถึง 2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้นแรง ส่วนราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงหนัก (โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐานก็ยังมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน) 

 

แนวโน้มค่าเงินบาท

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าได้กลับมาอีกครั้ง เปิดโอกาสเงินบาททดสอบโซน 37 บาทต่อดอลลาร์ และเสี่ยงที่จะอ่อนค่าทดสอบจุดสูงสุดของปีนี้ แถว 37.25 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ควรจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงเตรียมรับมือความผันผวนของค่าเงินบาทจากราคาทองคำและฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจยังไม่รีบกลับมาซื้อสินทรัพย์ไทย จนกว่าตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสย่อตัวลงได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะขึ้นกับรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟด หรือ Dot Plot ใหม่ ทั้งนี้ ทิศทางของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็อาจส่งผลต่อเงินดอลลาร์ได้พอสมควร โดยควรระวังในกรณีที่ตลาดผิดหวังต่อผลการประชุม BOJ ซึ่งสามารถกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลงหนักได้ (เช่น อ่อนค่าลงทดสอบโซน 157-158 เยนต่อดอลลาร์)

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward 

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องท้ายสัปดาห์ จากยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด กดดันให้ตลาดกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอีกครั้ง

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรจับตาผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางทั้ง เฟด ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) โดยเราคาดว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาด ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างมุ่งความสนใจไปที่ คาดการณ์ดอกเบี้ย หรือ Dot Plot ใหม่ โดยเราประเมินว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงมากขึ้นจากการประชุมเดือนมีนาคม สะท้อนจากดัชนี Growth Surprise โดย Bloomberg ที่ลดลงต่อเนื่อง อาจส่งผลให้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่จะสนับสนุนการลดดอกเบี้ยลงราว 2 ครั้งในปีนี้ (ลดลงจาก 3 ครั้งใน Dot Plot เดือนมีนาคม) ขณะที่การลดดอกเบี้ยในปีหน้าอาจอยู่ที่ราว 3-4 ครั้ง และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะยาว (Longer Run) ก็อาจอยู่แถวระดับ 2.6% ซึ่งสะท้อนว่า เฟดจะยังไม่รีบลดดอกเบี้ย จนกว่าจะมั่นใจแนวโน้มเงินเฟ้อ หรือการจ้างงานชะลอลงมากกว่าคาด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤษภาคม (รับรู้ก่อนผลการประชุม FOMC) ซึ่งหากชะลอลงต่อเนื่อง ก็อาจเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ได้ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งเรามองว่า โทนการสื่อสารอาจมีลักษณะ Neutral-Slightly Dovish ได้ ดังนั้น หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ Dot Plot ใหม่ของเฟด และการสื่อสารของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้ ก็อาจทำให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง หลังปรับตัวขึ้นเร็วและแรงในวันศุกร์ก่อนหน้า จากรายงานยอดการจ้างงานที่ออกมาดีกว่าคาด

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานของอังกฤษ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและทยอยชะลอตัวลงอาจทำให้ BOE ยังไม่รีบลดดอกเบี้ย คล้ายกับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะจับตารายงานข้อมูลอัตราการเติบโตของค่าจ้างอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแรงกดดันต่อแนวโน้มเงินเฟ้อจากค่าจ้าง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้อีกไม่เกิน 2 ครั้งในปีนี้ (ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนและธันวาคม)

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ในการประชุมครั้งนี้ BOJ อาจยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทว่า BOJ อาจส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็คาดหวังว่า BOJ อาจเริ่มทยอยปรับลดปริมาณการซื้อบอนด์ในการประชุมครั้งนี้ และส่งสัญญาณชัดเจนว่าพร้อมทยอยขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมครั้งถัดไป หลังอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นมีแนวโน้มกลับสู่เป้าหมาย 2% ของ BOJ ได้อย่างยั่งยืน ส่วนทางฝั่งธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.00% หลังอัตราเงินเฟ้อได้ชะลอลงเข้าใกล้ระดับ 2% มากขึ้น คลายความกังวลต่อแนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ CBC ขึ้นดอกเบี้ย +12.5bps เซอร์ไพรส์ตลาดในการประชุมเดือนมีนาคม

▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 5-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% หลังแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อยังใกล้เคียงกับคาดการณ์ของทาง กนง. อย่างไรก็ดี กนง. อาจเปิดกว้างได้ว่า (optionality) หากเศรษฐกิจชะลอลงกว่าคาดไปมาก (ซึ่งอาจสะท้อนจากโมเมนตัมเศรษฐกิจที่แย่กว่าคาด) เช่น การเบิกจ่ายภาครัฐมีปัญหา ภาคการส่งออกยังคงซบเซากว่าคาด รวมถึงอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมายชัดเจน ก็อาจทำให้ กนง. ยังสามารถพิจารณาใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงประเมินว่า กนง. มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้