ตลาดหุ้นสหรัฐ​ All Time High แล้วยังมีโอกาสลงทุนอะไรในสหรัฐ?

ตลาดหุ้นสหรัฐ​ All Time High แล้วยังมีโอกาสลงทุนอะไรในสหรัฐ?

ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงร้อนแรงจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2023 หุ้นเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนถึง 68% (ณ กลางเดือน ก.พ. 2024) มากกว่าดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 32%

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังคงร้อนแรงจนถึงปัจจุบัน รับแรงขับเคลื่อนหลักจากกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
  • ตั้งแต่ต้นปี 2566 หุ้นเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนถึง 68% (ณ กลางเดือน ก.พ. 2567) มากกว่าดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 32%
  • บลจ. สแทชอเวย์  เจาะลึกตลาดหุ้นสหรัฐ พิจารณาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ พื้นฐาน, ราคา และการถือครองของนักลงทุน (Net Overweight, Net Underweight หรือ Neutral)
  • กลุ่มเทคโนโลยียังมีโอกาสในระยะยาว แม้จะน่ากังวลในระยะสั้น 
  • กลุ่ม Healthcare ยังน่าสนใจ ในราคาที่สมเหตุสมผล
  • กลุ่มพลังงานอาจสร้าง Surprise

 

ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงร้อนแรงจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2023 หุ้นเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนถึง 68% (ณ กลางเดือน ก.พ. 2024) มากกว่าดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 32%

ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงร้อนแรงจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2566 หุ้นเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนถึง 68% (ณ กลางเดือน ก.พ. 2567) มากกว่าดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 32%

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าและราคาหุ้นที่สูง ทำให้เกิดคำถามสำคัญ คือ เรายังควรลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงนี้หรือไม่? และยังมีหุ้นกลุ่มไหนที่มีโอกาสทำผลงานได้ดีกว่าตลาด? 

บลจ.สแทชอเวย์ (ประเทศไทย)  หรือ StashAway จึงอยากพาทุกท่านเจาะลึกตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งจะต้องพิจารณาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ พื้นฐาน, ราคา และการถือครองของนักลงทุน (Net Overweight, Net Underweight หรือ Neutral)

 

กลุ่มเทคโนโลยียังมีโอกาสในระยะยาว แม้จะน่ากังวลในระยะสั้น 

กลุ่ม IT และกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น Communication Services มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีโอกาสทำกำไรได้ค่อนข้างดีในปีนี้ (แต่อาจไม่สูงเท่าปีที่แล้ว)

"ยศกร นิรันดร์วิชย"  กรรมการผู้จัดการ  บลจ. สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจเหล่านี้มี EPS ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นกลุ่ม IT เช่น Apple, Microsoft และ Nvidia มี CAGR ถึง 16% ต่อปี ระหว่างปี 2007 ถึง 2022 ขณะที่ หุ้นกลุ่ม Communication Services อย่าง Alphabet และ Meta มีการเติบโตของ EPS ราว 8% ต่อปี โดย EPS ของทั้ง 2 กลุ่มยังเติบโตมากกว่า EPS ของดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 6.6% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่ม IT อาจมีราคาค่อนข้างสูงแล้ว เพราะมีค่า Forward P/E อยู่ที่ 36.5 เท่า ซึ่งเหนือกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ 21.2 เท่า ส่วนกลุ่ม Communication Services ยังมีราคาค่อนข้างสมเหตุสมผลกว่าที่ 18.6 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ 17.2 เท่า

การสำรวจของ BofA ยังพบว่านักลงทุนจำนวนมากแห่เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสัดส่วนที่สูงแล้ว ทำให้สัดส่วนการ Net Overweight ของหุ้นเทคโนโลยีแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2020 ซึ่งโดยปกติแล้ว ยิ่งนักลงทุนมีสัดส่วนการถือครองมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

สรุปคือ กลุ่มเทคโนโลยี ยังคงเป็นการลงทุนที่ดีในระยะยาว แต่เนื่องจากทั้งราคาและสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนอยู่ในระดับสูงแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่า ราคาหุ้นอาจมีการปรับฐานเพื่อที่จะไปต่อ (Healthy Correction) ในระยะข้างหน้า  

ตลาดหุ้นสหรัฐ​ All Time High แล้วยังมีโอกาสลงทุนอะไรในสหรัฐ?

 

กลุ่ม Healthcare ยังน่าสนใจ ในราคาที่สมเหตุสมผล

กลุ่ม Healthcare มักทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 รวมถึงมีการเติบโตที่มั่นคงและมีราคาที่สมเหตุสมผล โดยนับตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2022 กำไรของกลุ่ม Healthcare มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 8.2% ต่อปี ซึ่งมากกว่าดัชนีโดยรวม และค่อนข้างมั่นคงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจทั้งหมด

"ยศกร" คาดกันว่าราคาหุ้นกลุ่ม Healthcare จะพลิกกลับมาดีในปี 2024 หลังทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานในปี 2023 เพราะมีฐานกำไรค่อนข้างสูงจากช่วง COVID-19 (Base-effect) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

EPS ของกลุ่ม Healthcare ในปี 2024 อาจเติบโตสูงกว่าตลาดโดยรวมและสถิติในอดีต เพราะนอกจากจะมีฐานกำไรปี 2023 ที่ค่อนข้างเป็นใจแล้ว ยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

หุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมีค่า Forward P/E อยู่ที่ 19.3 เท่า ซึ่งแม้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16.6 เท่า แต่ยังต่ำกว่ากลุ่มเทคโนโลยีที่ 36.5 เท่า และดัชนี S&P 500 ที่ 24.2 เท่า ขณะที่การถือครองของนักลงทุน แม้ผลสำรวจของ BofA จะบ่งชี้ว่าบรรดาผู้จัดการกองทุนได้ Net Overweight ในกลุ่มธุรกิจ Healthcare แต่ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยี

สรุปคือ กลุ่ม Healthcare อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยราคาหุ้นที่สมเหตุสมผล นวัตกรรมใหม่ๆ และ Trend สังคมผู้สูงอายุในระยะยาว จะช่วยให้กำไรของกลุ่มกลับมาเป็นปกติในระยะข้างหน้า และโดยธรรมชาติของกลุ่ม Healthcare ที่ค่อนข้าง Defensive จะช่วยปกป้องพอร์ตในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน

ตลาดหุ้นสหรัฐ​ All Time High แล้วยังมีโอกาสลงทุนอะไรในสหรัฐ?

กลุ่มพลังงานอาจสร้าง Surprise

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับสูงและ Supply น้ำมันที่ตึงตัว อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มพลังงาน แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกก็อาจฉุดรั้งกลุ่มธุรกิจนี้เช่นกัน

แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะทำให้คาดการณ์กำไรของกลุ่มพลังงานอยู่ที่ -7% ในปีนี้ แต่ที่ผ่านมา กำไรของกลุ่มพลังงานมักผันผวนสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ หมายความว่ากลุ่มพลังงานอาจมี Upside (รวมถึง Downside) ที่เราคาดไม่ถึง

ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับ ROE โดยมีค่า P/B ratio อยู่ที่ 2.2 เท่า ซึ่งเท่ากับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่มี ROE น้อยกว่าราวครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ การถือครองของนักลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำมาก (Net Underweight)

สรุปคือ ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน ยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับ ROE ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุน หากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น และหุ้นกลุ่มพลังงานยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงในช่วงที่เงินเฟ้อยังยืดเยื้อได้

ตลาดหุ้นสหรัฐ​ All Time High แล้วยังมีโอกาสลงทุนอะไรในสหรัฐ?