ไทยพาณิชย์ เชื่อฮุบ ‘โฮมเครดิต‘ เวียดนาม คุ้มค่า - เหมาะสม

ไทยพาณิชย์ เชื่อฮุบ ‘โฮมเครดิต‘ เวียดนาม คุ้มค่า - เหมาะสม

“ไทยพาณิชย์” ย้ำซื้อกิจการ “โฮมเครดิต” เหมาะสมคุ้มค่า เปิดทางต่อยอดโอกาสสู่ธุรกิจใหม่ ย้ำพันธกิจ “เอสซีบี เอกซ์” ที่ต้องการเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาคเพื่อก้าวสู่ “กลุ่มเทคชั้นนำของภูมิภาค” ชี้หากไม่เข้าไปซื้อกิจการ อาจสูญเสียโอกาสให้คู่แข่งทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลี จีน

เพิ่งประกาศดีลครั้งใหญ่ไปไม่นาน สำหรับ “เอสซีบี เอกซ์” ประกาศเข้าไปลงทุน ผ่าน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB เพื่อเข้าซื้อส่วนของทุน (Charter Capital) อัตราสัดส่วน 100% ของบริษัท Home Credit Vietnam Finance Company Limited ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อผู้บริโภค ในประเทศเวียดนาม จาก Home Credit N.V. (Home Credit Group) มีมูลค่าลงทุนถึง 31,000 ล้านบาท

เกิดคำถามมากมายว่า ทำไมต้องลงทุนใน “โฮมเครดิต” เวียดนาม และ 31,000 ล้านบาท มีความคุ้มค่าหรือไม่?

หนุนสู่ผู้นำเทคฯการเงินภูมิภาค

“กฤษณ์ จันทโนทก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ฉายภาพให้เห็นถึงพันธกิจ หรือยุทธศาสตร์ ของ “เอสซีบี เอกซ์” ที่มีมาก่อนการซื้อกิจการ “โฮมเครดิต” ว่า หมุดหมาย เอสซีบี เอกซ์ คือต้องการเป็น “กลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำของภูมิภาค” เพราะมองว่า การจะไปเติบโตในภูมิภาคนั้น มีไม่กี่ประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง “เวียดนาม” จึงเป็นหนึ่งในเป้าหมาย

ดังนั้นจุดสำคัญ ที่ทำให้ “เอสซีบี เอกซ์” มองว่า ดีลนี้เหมาะสมคือ มีทั้งตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรกว่า 100 ล้านคน มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง การขยายตัวของจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 7-8% และประชากรเวียดนาม มีอายุไม่มากนัก “3 เงื่อนไขนี้” จึงเป็นจุดสำคัญทำให้ กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ มองว่า ดีลนี้น่าจะมีความเหมาะสมด้วยขนาดของ “โฮมเครดิต” ที่มีฐานลูกค้ากว่า 15 ล้านคน

และสิ่งที่ “เอสซีบี เอกซ์” อยากทำคือ สินเชื่อ ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อรายย่อย และต้องพึ่งเทคโนโลยีดิจิทัล เหล่านี้จึงเป็นความสอดคล้องที่มีความเหมาะสมกับกลยุทธ์ของ เอสซีบี เอกซ์ ที่ต้องการเป็น regional player ผู้เล่นในระดับภูมิภาค ที่เป็นรายสำคัญมาจากเมืองไทย จึงเป็นที่มาของดีลครั้งนี้ สอดคล้องกับสิ่งที่ไทยพาณิชย์พูดมาโดยตลอดคือ จะทำธุรกิจในบริบทที่ไม่มีความเสี่ยงสูงนัก อาจไม่ได้มีกำไรมาก แต่จะหาจุดสมดุลระหว่างความเสี่ยงกับกำไรที่ดี!

การต่อยอดจาก “โฮมเครดิต” มองว่า สามารถต่อยอดในหลายมิติ การมีฐานที่มั่นคงคือ ธุรกิจที่เป็นรายย่อย ในเวียดนาม ที่จะช่วยต่อยอดการเติบโตใหม่ๆ ให้กับธุรกิจไทยได้ บนการมีจุดให้บริการ ของโฮมเครดิตกว่า 14,000 จุดทั่วเวียดนาม ที่จะช่วยต่อยอดความสมพันธ์จากโฮมเครดิตไปสู่ ธุรกิจรายย่อย และลูกค้าบรรษัทให้เติบโตได้มากขึ้น

ลั่น! ดีลคุ้ม และเหมาะสม

31,000 ล้านบาท แพงหรือไม่? เชื่อว่า “คุ้ม” และมีความเหมาะสม และการซื้อ “โฮมเครดิต” ครั้งนี้ มีเรื่องของ จังหวะในการเข้าซื้อการทำดีลด้วย เพราะหากดูความเป็นไปได้ในภูมิภาคปัจจุบัน ไม่เฉพาะไทย ที่สนใจเข้าไปลงทุนในภูมิภาค แต่ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน มีการรุกหนักพอสมควรในการเข้าไปขยายธุรกิจภูมิภาค ดังนั้น ถ้าเรายิ่งรอช้า ก็อาจจะทำให้เราสูญเสีย บางโอกาสกับคู่แข่งที่เป็น ญี่ปุ่น เกาหลี ที่เขามี regional footprint คือ ที่ดีกว่า เอสซีบี เอกซ์  

“คนที่เข้าไปแข่งซื้อโฮมเครดิต ไม่เฉพาะมีแค่เรา แต่ยังมีกลุ่มของแบงก์ไทย อยู่ในนั้นเข้ามาแข่งขันด้วย และ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ก็รุกหนักในภูมิภาคพอสมควร ในการเริ่มขยายธุรกิจในภูมิภาค หากเรายิ่งรอช้า ก็อาจจะทำให้เราสูญเสียบางโอกาสกับคู่แข่งที่เป็นญี่ปุ่น เกาหลีที่มี Regional footprint ที่ดีกว่าเอสซีบี เอกซ์ ได้”

ปักธง “ไทยพาณิชย์” เรือใหญ่สร้างรายได้

ในมุมของ “ธนาคารไทยพาณิชย์” ยังคงวางตัวธนาคาร เป็นเรือใหญ่สุด ในการสร้างรายได้ให้กับ “เอสซีบี เอกซ์”

ในด้านการตั้งเป้าการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในส่วน Cost to income หรืออัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ให้อยู่ในระดับ 35% ก็ยังคงเป็นเป้าหมายธนาคาร

เช่นเดียวกัน สินเชื่อของธนาคารที่ปีนี้ ตั้งเป้าเติบโตที่ระดับ 1-2% หรือทรงตัว เพราะโจทย์สำคัญของปีนี้ อยู่ที่ “การบริหารสินทรัพย์” ให้มีคุณภาพ และเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลลูกค้ามากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงให้กับธนาคาร

โดยเฉพาะภายใต้หนี้ครัวเรือนสูง สินเชื่อทั้งที่มีหลักประกัน และไม่มีหลักประกัน ได้รับความท้าทายอย่างมากจากเศรษฐกิจฝืดเคือง จึงอาจทำให้ปีนี้ คนมีปัญหาเรื่องหนี้มากขึ้น ในมุมแบงก์ คงปล่อยสินเชื่อได้ยากขึ้น โดยเฉพาะรายย่อย ที่อาจเห็นการเติบโตลดลง และมุ่งไปสู่ กลุ่มที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น ลูกค้าสินเชื่อบ้าน ระดับ 5 ล้านบาทขึ้นไป

“โจทย์ที่ผมต้องให้ความสำคัญปีนี้ คือ การบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ นั้นความหมายความว่า ความเข้มข้นในการที่จะปล่อยสินเชื่อก็จะมีมากขึ้น เราก็คงจะต้องคัดเลือกลูกค้าให้มากขึ้น ว่ากลุ่มไหนที่ปล่อยแล้วจะไม่เป็นความเสี่ยงกับธนาคาร ดังนั้นโจทย์ของสินเชื่อเอง ก็คงจะตั้งการ์ดสูง แล้วก็กลับมาดูในพอร์ตที่ตัวเองมีอยู่ให้มีคุณภาพ”

มุ่งโตธุรกิจใหญ่ - ซื้อบ้านเกิน 5 ล้าน

     ดังนั้น การเติบโตด้านสินเชื่อปีนี้คือ การมุ่งไปสู่ ธุรกิจที่เป็น “นิติบุคคล” หรือธุรกิจรายใหญ่ ที่ยังมองว่า ยังมีโอกาส และยังมีความเข้มแข็ง ภายใต้ธุรกิจเอสเอ็มอี และรายย่อยที่เติบโตช้า แต่การเติบโตในภาคธุรกิจรายใหญ่ อาจมีโจทย์ในเรื่องการ “แข่งขันด้านราคา” ที่จะมีมากขึ้นปีนี้

ส่วนตัวที่ขับเคลื่อนการเติบโตของไทยพาณิชย์ ปีนี้ มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ (Fee Income) ซึ่งมาจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ทั้งผ่านการลงทุน หรือผลิตภัณฑ์ประกัน การทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ที่จะสร้างรายได้เติบโตให้ธนาคารได้ โดยธนาคารตั้งเป้าสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ เติบโตไว้ที่ระดับ 10% ปีนี้

อีกหมุดหมายสำคัญคือ การเติบโตรายได้ ที่มาจาก “ดิจิทัล” ที่มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนแบงก์ในระยะข้างหน้า ปีนี้ตั้งเป้าเติบโตที่ระดับ 13% และปีหน้าที่เป้าท้าทายมากขึ้นคือ การไปสู่ 25%

จ่ายปันผลปี 66 บนความแข็งแกร่งแบงก์

สำหรับการจ่ายอัตราปันผล ของ เอสซีบี เอกซ์ ที่ 10.34 บาท สำหรับผลดำเนินงานปี 2566 หรือคิดเป็นราว 80% ของกำไร ยอมรับว่า การจ่ายปันผลปี 2566 มีการหารือกันข้างในว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ แต่เหล่านี้สะท้อนว่า ธนาคารวันนี้อยู่ในจุดที่มั่นคงแล้ว ก็มีความเหมาะสม ในการจ่ายปันผลในระดับที่ดี ไม่ใช่จ่ายไปแล้ว สร้างความเสี่ยงให้กับธนาคารเอง

ดังนั้น หากถามว่าข้างหน้า จะจ่ายปันผลระดับเดิมหรือไม่ มองว่า คงไม่มีตัวเลขตายตัว เพราะการจ่ายปันผลก็หมายถึง ความมั่นคงของธนาคาร

“ปีที่แล้ว เราเข้มแข็งมาก เราก็จ่ายปันผลได้เยอะหน่อย แต่ปีไหนมีกำไรน้อยก็จ่ายปันผลน้อยหน่อย ส่วนแนวโน้ม คงไม่สามารถบอกได้”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์