‘ทองไทย’พุ่งออลไทม์ไฮใหม่ ครึ่งหลังโอกาสทะลุ38,000บาท  

‘ทองไทย’พุ่งออลไทม์ไฮใหม่ ครึ่งหลังโอกาสทะลุ38,000บาท  

“ราคาทองคำแท่ง” ในประเทศ ทำจุดสูงสุดใหม่ (ออลไทม์ไฮ) เป็นประวัติการณ์ที่ 34,600 บาท อานิสงส์ “เงินบาทอ่อน” ใกล้แตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ สอดคล้องกับตลาดคาด เฟด มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้เดือนมิ.ย. 2567 ปัจจัยดังกล่าวเป็นแรงหนุนให้ราคาทองคำปีนี้ปรับขึ้น “โดดเด่น” 

ราคาทองวานนี้ (29 ก.พ.) ทองคำแท่งในประเทศยังคงทำระดับ “สูงสุดใหม่” เป็นประวัติการณ์ที่ 34,600 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณ ยังทะลุ 35,000 บาท อยู่ที่ 35,150 บาท หลังจากเปิดตลาดขยับขึ้น 1 ครั้ง เพิ่มขึ้น 50 บาท และหลังจากนั้นปรับลง 50 บาท อีก 1  ครั้ง เหตุเงินบาทยังคงอ่อนค่าเคลื่อนไหวใกล้ 36 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนักวิเคราะห์รอลุ้นการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ หากเฟดสามารถลดดอกเบี้ยได้ในเดือนมิ.ย. ตลาดคาดครึ่งปีหลัง ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ มีโอกาสสูง เห็นราคาทองคำแท่งในประเทศ ปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ 38,000 บาท

‘ทองไทย’พุ่งออลไทม์ไฮใหม่ ครึ่งหลังโอกาสทะลุ38,000บาท  

“กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS Gold)  มีมุมมองว่า ปี 2567 ถือเป็น “ปีทอง” ของทองคำ สะท้อนผ่านสัญญาณความโดดเด่น และตอกย้ำความชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป โดยคาดไตรมาสแรกและไตรมาส 2 ปีนี้ ราคาทองคำจะมีลักษณะเหวี่ยงขึ้นลงไม่มากนัก และมีการเคลื่อนตัวในกรอบระหว่าง 2,000-2,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ขณะที่ ในส่วนครึ่งปีหลังไตรมาส 3 ปี 2567 มีโอกาสสูงที่จะเห็นราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ จากการที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. ซึ่งการลดดอกเบี้ยของเฟดน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และส่งผลให้ราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน หากเฟดมีการ Roll Over บอนด์ยีลด์ที่หมดอายุ หรือมีมาตรการทางการเงินบางอย่าง อาจจะกดดันให้ “ดอลลาร์” อาจปรับตัวลดลงได้ ซึ่งเป็นผลบวกต่อราคาทองคำ รวมถึงสถานการณ์การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย. ปีนี้ ซึ่งจะผลักดันให้เกิดความผันผวนค่าเงิน และน่าจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 

ดังนั้น คาดราคาทองคำน่าจะปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ในไตรมาส 3 เป็นต้นไป โดยราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นมาประมาณ 10-15% อยู่ที่ระดับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับราคาทองไทย คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าขึ้นอย่างมาก และเศรษฐกิจไทยยังคงอ่อนแอ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเงินบาทมีโอกาสสูงที่จะอ่อนค่าขึ้นอีก ทำให้ราคาทองไทยมีโอกาสทดสอบที่ระดับ 38,000 บาทได้ โดยจะทำ All Time High ได้ในไตรมาส 3-4 นี้ 

สำหรับ “ปัจจัยบวก” ที่ส่งเสริมราคาทองคำยังคงเป็นเรื่องของการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด และการเมือง รวมถึงภาวะการเงินต่างๆ ทางด้านปัจจัยที่กดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลดลง น่าจะมาจากภาวะเงินเฟ้อเป็นหลัก 

โดยจะเห็นได้ว่าจากความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์ สงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย และสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส หากมีการลุกลามในวงกว้างอาจทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นไปแตะ 100 เหรียญต่อบาร์เรลได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภาวะการเงินตึงตัว และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูง ส่งผลให้เฟดมีนโยบายหยุดการลดดอกเบี้ยหรือขึ้นดอกเบี้ยแทน

“ในเชิงวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักจะวิเคราะห์ประมาณ 6 เดือน หรือ 1 ปีในปีนี้ จึงคาดว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะทำจุดสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือไม่น่าจะเกิน 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์”