บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้าปี 67 AUM โตแตะ 5.86 แสนล. รุกพัฒนาบริการลงทุนแบบดิจิทัล

บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้าปี 67 AUM โตแตะ 5.86 แสนล. รุกพัฒนาบริการลงทุนแบบดิจิทัล

บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้าปี 67 AUMแตะ 5.86 แสนล้าน โตจากปีก่อนตลาดภาวะตลาด ชี้ตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาโตโดดเด่น พร้อมพัฒนาระบบออนไลน์รองรับผู้ลงทุน ลุ้นดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ ทะลุ 1,500 จุด จากปัจจัยในประเทศฟื้นตัวดีกว่าปีก่อน ชู5 ธีมลงทุนฝ่าตลาดผันผวน

นางสุภาพร  ลีนะบรรจง  กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า  ในปี2567 บริษัทตั้งเป้าหมายมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM)  ที่ 580,000 ล้านบาท เติบโต 2.1%  สอดคล้องก้บปีนี้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกมีความชัดเจนมากขึ้น Earnings ของตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยตลาดคาดว่าจะโตที่ 10% ซึ่งตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนายังมีแนวโน้มฟื้นตัวจากแรงหนุนของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าฝั่งประเทศที่พัฒนาแล้ว 

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทย ที่ยังมีความน่าสนใจจากการปรับตัวลดลงมาและมีอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566  โดยปัจจัยบวกสำคัญในระยะสั้นคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัล  และเศรษฐกิจไทย ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ  การฟื้นตัวของภาคการส่งออก  และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบาย Digital Wallet  และภัยแล้งจากเอลนีโญ่

ดังนั้นในปีนี้ บริษัทวางกลยุทธ์ ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการกองทุนควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม  ให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในวงกว้าง  เน้นการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัล โดยเฉพาะบน @ccess Mobile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทั้งลูกค้ากองทุนรวมและลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมทั้งเพิ่มตัวแทนขายอิสระให้มากขึ้นเช่นกัน

สำหรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้จะมีการเสนอกองทุนขาย Thai ESG และกองทุนกลุ่ม FIF ที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับสภาวะตลาดเพิ่มเติม  โดยเร็วๆ นี้จะมีการเสนอขายกองทุนที่มีการกระจายลงทุนในหุ้นโลกคุณภาพดี เป็นต้น

ขณะที่ในปีที่ผ่านมามี AUM ที่  568,000 ล้านบาท  เติบโต 5% ซึ่งยังเติบโตใกล้เคียงเป้าหมาย แม้ว่าตลาดปรับตัวลง ทั้งนี้ กองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลัก มีสัดส่วน AUM ประมาณ 73% ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงและกองทุนส่วนบุคคล  มีสัดส่วน 27% 

ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรม มีอัตราการเติบโตที่ 6%  (อุตสาหกรรม 5.46%)  ด้านฐานลูกค้าก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 4 หมื่นบัญชี คิดเป็น 9% ของฐานลูกค้าในปีก่อน  

 

นายศิระ  คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี คาดการณ์ แนวโน้มหุ้นไทยปีนี้ จะได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงค่าเงินบาทที่เริ่มมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น และมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยหลังจากขายออกไปกว่า 1.92 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา   

 

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า SET Index ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ 1,552 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 9.61% จากสิ้นปี 2566 บนสมมติฐาน EPS ที่ 96.8 บาท และค่า PER ที่ 16 เท่า  สำหรับกลุ่มหุ้นน่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ มี 4 กลุ่ม ได้แก่  ท่องเที่ยว  โรงแรม สายการบินและท่าอากาศยาน  และหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะหนุนกลุ่มหุ้นค้าปลีก อุปโภคบริโภค 

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่  การเลือกตั้งของสหรัฐ  ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน  และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์  นอกจากนี้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง

ครั้งแรก 

รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงรวมตลอดทั้งปีที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 75 – 150 bps นั้น ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกมีความผันผวนรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่อาจทำให้เกิดแรงเทขายขึ้นได้เป็นระยะ ตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศออกมาได้เช่นกัน 

 

แนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศปี 2567 มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นหากเปรียบเทียบกับช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแต่อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ได้ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากขึ้น  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปและอยู่ในระดับขอบล่างของเงินเฟ้อเป้าหมายที่ธปท.กำหนดไว้ที่ร้อยละ 1.00 - 3.00 

 

ดังนั้นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนมีโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อีก  การปรับอายุคงเหลือเฉลี่ยกองทุนด้วย  กลยุทธ์เชิงรุกช่วยเพิ่มโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุนได้จากความผันผวนของตลาดตลอดทั้งปี  ทั้งนี้ แนะนำให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ยาวขึ้นควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพดี

 

“ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2567 ได้แก่ 1.การลงทุนในตราสารหนี้เพราะได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยสหรัฐกลับตัวเป็นขาลง  โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFTRB และ KF-CSINCOM  2.การลงทุนในตลาดประเทศกำลังพัฒนาซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว  โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KF-EM, KFINDIA และ KFVIET  3.การลงทุนหุ้นคุณภาพสูงที่มีหนี้อยู่ในระดับต่ำ มีอัตราการทำกำไรสูง มีกระแสเงินสดดี และมีความทนทานในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดี  โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFGBRAND  4.การลงทุนในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตได้สูงกว่าตลาดโดยรวม รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และการฟื้นตัวของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFHTECH  5.การลงทุนในหุ้นไทยที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี”