ทำไมอินเดียยังไม่ใช่ ‘The New China’ แม้เศรษฐกิจแดนมังกรกำลังดิ่งเหว ?
เปิดข้อถกเถียงของบรรดานักวิชาการทำไมเศรษฐกิจอินเดียยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่จีนเป็นมหาอำนาจอันดับสองทางเศรษฐกิจโลกได้ แม้เศรษฐกิจแดนมังกรกำลังตกต่ำจากภาคอสังหาริมทรัพย์
Key Points
- ผู้นำระดับสูงขององค์กรและประเทศจำนวนมากเป็นชาวอินเดีย
- เศรษฐกิจอินเดียเคยขยายตัวมากที่สุดอันดับต้นๆ ของโลกในช่วง 1980 ก่อนหายไปจากจอเรดาร์ในสองทศวรรษให้หลัง
- นักวิชาการเห็นต่างอินเดียจะสามารถขึ้นมาแทนที่จีนได้หรือไม่
ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอของอัลฟาเบต สัตยา นาเดลลาซีอีโอของไมโครซอฟท์ นีล โมฮาน ซีอีโอของยูทูป อาร์เจย์ แบงก้า อดีตซีอีโอมาสเตอร์การ์ดและปัจจุบันเป็นประธานธนาคารโลก กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิปดีสหรัฐ และรีชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอังกฤษ
ทั้งหมดนี้คือชื่อของผู้นำประเทศและผู้บริหารระดับสูงในองค์กรระดับโลกที่มีเชื้อสายอินเดียโดยกำเนิด แล้วถ้าผู้อ่านเข้าไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ตจะยิ่งเห็นชัดเจนว่ายังมีผู้บริหารชาวอินเดียในบริษัทและองค์กรระดับโลกอีกหลายร้อยชีวิต
จากข้อเท็จจริงข้างต้นทำให้นักวิชาการ นักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ และสำนักข่าวจำนวนมากตั้งคำถามว่า ในอนาคต “อินเดีย” จะกลายไปเป็นประเทศมหาอำนาจเชิงเศรษฐกิจอันดับต้นของโลกได้หรือไม่
ข้อสันนิษฐานข้างต้นแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือฝั่งที่เห็นด้วยว่าเศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มที่จะกลายไปเป็นมหาอำนาจเชิงเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลกหรืออาจแทนที่เศรษฐกิจจีนที่กำลังประสบกับปัญหามากมาย ทั้งความปั่นป่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้รัฐบาลท้องถิ่น และความไม่โปร่งใสของข้อมูล และฝั่งที่มองว่าอินเดียมีโอกาสจะเป็นมหาอำนาจอันดับต้นของโลกแต่ก็ยังไม่สามารถแซงหน้าจีนได้
สำหรับข้อถกเถียงแรกมีข้อมูลสนับสนุนจำนวนหนึ่งอย่างแรกคือองค์การสหประชาชาติ ( The United Nation) รายงานเมื่อช่วงส.ค.ปีที่แล้วที่ว่า อินเดียโค่นจีนขึ้นแทนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกที่ 1,428 ล้านคน ขณะที่จำนวนประชากรจีนอยู่ที่ 1,425 ล้านคน
ประชากรอินเดียยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางประชากรจีนที่อยู่ในเทรนด์ขาลง เนื่องจากเมื่อกลางเดือนม.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่าโดยอ้างอิงสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนว่า ในปี 2566 ประชากรจีนปรับตัวลดลงเป็นประวัติการณ์ โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ท่ามกลางยอดทารกแรกเกิดที่ลดน้อยลง
อินเดียไม่เพียงเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ประชากรชาวอินเดียกว่าครึ่งประเทศมีอายุต่ำกว่า 25 ปี ซึ่งเป็นวัยแรงงานที่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
ด้าน องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ไว้ว่าในอีก 6 ปีข้างหน้าประชากรวัยชาวอินเดียวัย 15-64 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยทำงานจะครองสัดส่วนมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั่วโลก นั้นหมายความว่าอินเดียจะยิ่งเป็นประเทศที่เนื้อหอมจากแรงงานถูก
รวมทั้งเมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา มูลค่าของตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้นแซงหน้ามูลค่าตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดที่เคยได้ชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือทางด้านมาตรฐานการบัญชีอันดับต้นๆ ของโลก
โดยมาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นอินเดียอยู่ที่ 4.33 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่ที่ 4.29 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้อินเดียกลายเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และยังเป็นตลาดหุ้นที่ทำกำไรแปดปีติดต่อกัน
จากข้อมูลที่เล่ามาทั้งหมดทำให้บรรดานักวิเคราะห์และนักสังเกตุการณ์ในฝั่งที่เห็นด้วยว่าเศรษกิจอินเดียมีแนวโน้มเติบโตแซงหน้าจีนหนึ่งในนั้นคือ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์แถวหน้าเมืองไทยมั่นใจขึ้นไปอีก ซึ่งหากพิจารณาขนาดของเศรษฐกิจอินเดียเทียบกับทั้งโลกก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าแนวโน้มดังกล่าวมีโอกาสเป็นจริง
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 1980 อินเดียเป็นหนึ่งในสิบประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก แต่หลังจากนั้นราวสองทศวรรษเศรษฐกิจอินเดียก็หายออกไปจากจอเรดาร์ เนื่องจากเศรษฐกิจของหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนเติบโตเร็วอย่างก้าวกระโดดและเริ่มแซงหน้าอินเดียในปี 1992
เศรษฐกิจจีนเริ่มขยายตัวด้วยความเร่งมากขึ้นในช่วงปี 2009-2010 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลจีนออกโครงการกู้ยืมเงินมหาศาลเพื่อพัฒนาประเทศจนทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โตระดับ 10%
แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนที่กำลัง “รับกรรม” กับหนี้ที่กู้มาเพื่อพัฒนาประเทศในตอนนั้น รวมทั้งการเติบโตของประเทศอื่นที่ถดถอยจากสงครามและการแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) ทำให้เศรษฐกิจอินเดียเริ่มกลับมาผงาดอีกครั้ง
ในปี 2565 อินเดีย “แซงหน้า” มหาอำนาจอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และแคนาดา ขึ้นแท่นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 5 ของโลก โดยนักองค์การสหประชาชาติยังเชื่อว่าภายในปี 2573 อินเดียจะกลายไปเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียงจีนและสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงต่อไปไม่ใช่ข้อถกเถียงที่ว่าอินเดียจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับต้นๆ ของโลกได้หรือไม่ เพราะนักวิชาการและองค์กรข้ามชาติจำนวนมากมองเป็นทิศทางเดียวกันว่ามีความเป็นไปได้สูง
ทว่าข้อถกเถียงต่อมาคือเศรษฐกิจอินเดียจะก้าวข้ามจีนจนกลายไปเป็นมหาอำนาจอันดับสองของโลกได้หรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทรมองว่า “เป็นไปได้ยาก”
"ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าอินเดียประมาณ 5 เท่า กล่าวคือโดยเฉลี่ยประชาชนคนจีนหนึ่งคนสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจที่ 13,000 ดอลลาร์ ส่วนคนอินเดียหนึ่งคนสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจ 2,500 ดอลลาร์"
นอกจากนี้อินเดียยังมีความท้าทายเชิงโครงสร้างจำนวนมากอย่างการศึกษา ระบบสาธารณสุข และที่สำคัญความไม่เท่าเทียมทางเพศ ระหว่างชายและหญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการทำงาน
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานอินเดียเผยว่า ในปี 2565 มีผู้หญิงวัยแรงงานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ออกไปทำงานนอกบ้านซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 10% เมื่อเทียบกับปี 2561 และถึงแม้ว่าจะเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นทว่าก็ยังเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่อยู่ในเกณฑ์รายได้ปานกลางถึง 50%
โดยจากแบบสำรวจความคิดเห็นสุภาพสตรีชาวอินเดียซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานพบว่า สตรีชาวอินเดียกว่า 45% ไม่สามารถออกไปทำงานได้เพราะต้องรับผิดชอบทำงานบ้าน
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบยอดจากส่งออกปัจจุบันจีนยังคงเป็น “ผู้ผลิตของโลก” (The Manufacturer of the World) โดยในปี 2565 ยอดการส่งออกของจีนอยู่อันดับหนึ่งด้วยมูลค่า 3.594 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยสหรัฐ 2.064 ล้านล้านดอลลาร์ เยอรมนี 1.655 ล้านล้านดอลลาร์ เนเธอแลนด์ส 9.66 แสนล้านดอลลาร์ และญี่ปุ่น 7.47 แสนล้านดอลลาร์ ในขณะที่ยอดการส่งออกของอินเดียยังต่ำมากที่ 4.53 แสนล้านดอลลาร์
อ้างอิง