บลจ.วรรณ มอง‘หุ้นไทย’ยังเหมือน’คนป่วย’ หั่นเป้าดัชนีปีนี้เหลือ 1,580 จุด

บลจ.วรรณ มอง‘หุ้นไทย’ยังเหมือน’คนป่วย’ หั่นเป้าดัชนีปีนี้เหลือ 1,580 จุด

บลจ.วรรณ ชี้ ตลาดหุ้นไทยผันผวน เหมือนคนป่วย รับแรงกดดัน ฟันด์โฟลว์ในรอบ10 ปี เทขายแล้วกว่า 9 แสนล้าน หั่นเป้าดัชนีปีนี้เหลือ 1,580จุด จากกำไรบจ.ลด-เศรษฐกิจไทยยังรอการลงทุนภาครัฐเข็น แนะโยกการลงทุนไปสหรัฐ-เวียดนาม-อินโด พร้อมชู 2 กองทุนเด่น CPNREIT-DIF

ตลาดหุ้นไทย ยังคงมี 'ความผันผวน' จะเห็นได้ว่า เมื่อ 24 ม.ค. ดัชนีสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกกว่า 20 จุดได้ จากปัจจัยการเมือง แต่ก็กลับมาปรับตัวลงอีกครั้งในวันถัดมา (25 ม.ค.) 

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ มองว่า ปัจจัยกดดัน ตลาดหุ้นไทย มาจากเงินลงทุนนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่ยังขายหุ้นไทยต่อเนื่องจากปีก่อนที่ขายไปกว่า 6 แสนล้านบาท และผ่านมา 10 ปี ต่างชาติขายหุ้นไทยออกไปแล้วกว่า 9 แสนล้านบาท

ส่วนหนึ่งมาจากการที่กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยถูกปรับลงเหลือ 97 บาทต่อหุ้น จาก 102 บาทต่อหุ้น

ประกอบกับยังคงรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มาจากการลงทุนภาครัฐ ที่รอการผลักดันออกมา มองว่า การลงทุนภาครัฐจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างดี  หลังจากที่ภาคการท่องเที่ยวได้ฟื้นกลับมาดีแล้ว แต่ยังขาดแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐที่เป็นปัจจัยหนุน

นายพจน์ มองว่า หุ้นไทยเหมือนคนป่วย แต่ยังเชื่อว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมารอบนี้ อาจจะไม่หลุด 1,300 จุด เห็นว่าตอนนี้ดัชนีฯ ยังยืนได้ ส่วนกรอบแนวต้าน ปรับลงมาที่ 1,580 จุด ในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่คาดไว้ 1,600 จุด จากปัจจัยกดดันต่างๆ 

แนะลงทุนหุ้นแค่ 10%ของพอร์ตหุ้น ชูกองรีท-อินฟราฯ เด่น

แนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทย สัดส่วนการลงทุนที่ 10% ของพอร์ตการลงทุนในหุ้น และอาจจะเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ในปีก่อนราคาได้ปรับลดลงมาราว 30% มีความน่าสนใจ ทำให้นักลงทุนจะสามารถเข้าลงทุน และ มีโอกาส ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงในระดับ 8-9% จากการที่ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทำให้แรงกดดันของผลตอบแทนจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่อนคลายลง แนะนำ 2 กองทุนที่มองว่ามีความน่าสนใจ ได้แก่ CPNREIT และ DIF ซึ่งสามารถมีสัดส่วนการลงทุนได้ราว 15%

แนะกระจายลงทุนออกจาก ‘หุ้นจีน

ส่วนมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นจีน นายพจน์ มองว่ายังมีความน่าเป็นห่วง แม้ว่า GDP จะโตได้ 5% แต่หุ้นจีนไม่ได้ขึ้น และปรับตัวลงมาแรง ซึ่งยังมีความกังวลในเรื่องของ Domino effect จากภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของจีนที่ยังมีโอกาสล้มได้ 

ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย มองว่าตลาดหุ้นที่ยังน่าสนใจลงทุนในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นอินเดีย หรือตลาดหุ้นเวียดนาม ประกอบกับการหาโอกาสในการเข้าลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี A.I. เพื่อคว้าโอกาสในการสร้างผลตอบแทนตามเทรนด์ของโลก

 

หุ้นกู้ดีฟอล แค่1% ยันไม่กระทบตลาด

ส่วนประเด็นด้านความกังวลในเรื่องของความเสี่ยงตลาดหุ้นกู้ของไทย ที่กระทบต่อความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนนั้น  แต่ นายพจน์ มองว่าหุ้นกู้ที่ในไทยที่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ( Default ) คิดเป็นมูลค่าเพียง 1% ของทั้งตลาด ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม และบางธุรกิจเป็นเพียงแค่การ Delay ขอขยายระยะเวลาการชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดออกไป เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่งานอาจจะส่งมอบล่าช้าไปปีหน้า ก็ขอขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นออกไป แต่ยังคงจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ มองว่า ไม่ได้มีผลกระทบมาก

โดยการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังคงแนะนำให้ลงทุนในตลาดสารหนี้ที่เป็น Investment Grade และหลีกเลี่ยง High Yield Bond ส่วนหากนักลงทุนอยากลงทุน High Yield Bond แนะนำให้ลงทุนใน High Yield Bond ของสหรัฐ ซึ่งยังมีความน่าสนใจมากกว่า และมีความเสี่ยงที่ยังไม่สูงมาก ซึ่งจะเห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐยังคงเดินหน้าทำ All time high สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐและกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฒี่แข็งแกร่งและยังเห็นการเติบโตที่ต่อเนื่อง        

มอง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ดันหนี้เพิ่มเสี่ยงทั้งระบบ

สำหรับการกระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นายพจน์มองว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแค่ในระยะสั้นเพียงครั้งเดียว และมีความเสี่ยงต่อการเพิ่มหนี้สาธารณะของไทยสูงขึ้น เพราะต้องมีการหาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งจะส่งผลต่อทำให้สถาบันต่างชาติ มีโอกาสจะลดอันดับเครดิตเรตติ้งของประเทศไทยลง จากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น กระทบต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้ของประเทศไทยลดลง 

และส่งผลตามมาต่อการที่ธุรกิจในประเทศจะต้องมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น จากการถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้งของประเทศ ทำให้การกู้ยืมเงินมาลงทุนของภาคธุรกิจในประเทศจะต้องมีดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ที่จะถูกปรับลดลงได้อีก