ภาษิตที่จะทำให้คุณรู้ทันโลกการเงินในปี 2024 (ครึ่งหลัง)

ภาษิตที่จะทำให้คุณรู้ทันโลกการเงินในปี 2024 (ครึ่งหลัง)

ภาษิต เหตุการณ์สำคัญ และตัวแปรที่ต้องจับตาในตลาดการเงินครึ่งแรกของปี 2567 จะมารู้ทันตลาดการเงินครึ่งหลัง

สัปดาห์ก่อนเราได้เปิดบทความเรื่องภาษิต เหตุการณ์สำคัญ และตัวแปรที่ต้องจับตาในตลาดการเงินครึ่งแรกของปี 2024 กันไปแล้ว เราจะมารู้ทันตลาดการเงินครึ่งหลังที่มีทั้งภาษิต และเหตุการณ์ที่เข้มข้นไม่แพ้กัน

กรกฎาคม “The first five days of July.”

เป็นภาษิตบนความเชื่อที่ว่าช่วงห้าวันแรกของเดือนจะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มหลักของช่วงที่เหลือ สำหรับ ก.ค. เป็นเดือนที่พบความสัมพันธ์นี้เด่นชัดที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังมองหาทิศทางใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี

ก.ค.นี้วันที่ 26 จะมีการเปิดการแข่งขันระดับโลกอย่าง Paris Olympic 2024 เป็นแรงส่งให้กับทวีปยุโรป และถ้าเฟดไม่ลดดอกเบี้ยแรงไปเสียก่อน เดือนนี้จะเป็นเดือนที่ ส่วนต่างของบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10ปีและ 3เดือนจะติดลบต่อเนื่อง 20เดือน ถือว่าเป็นการติดลบที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ นานกว่าครั้งก่อน คือช่วง Great Depression ปี 1929

เงินดอลลาร์ ยูโร และตลาดหุ้นยุโรปจึงเป็นตัวแปรที่ต้องจับตาในเดือนนี้

สิงหาคม “When The Cats Are Away, The Mice Will Play.”

ภาษิตของเดือนส.ค. แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “แมวไม่อยู่หนูร่าเริง”

ส.ค.มักเป็นเดือนที่นักลงทุนรายใหญ่ลาหยุดพัก ทำให้เป็นเดือนที่สภาพคล่องอยู่ในระดับต่ำ ตลาดจึงแกว่งตัวในกรอบแคบ

อย่างไรก็ดี ความแตกต่างของปีนี้ อยู่ที่การเป็นปีเลือกตั้งสหรัฐ ปรกติจะส่งผลบวกกับอารมณ์ของนักลงทุนรายย่อยมากที่สุด จากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 1872 เดือนส.ค.ในปีเลือกตั้งสหรัฐเป็นเดือนที่ผลตอบแทนเป็นบวกบ่อยที่สุด

ในปีนี้จะมี Democrat National Convention ในวันที่ 19 เราจะเห็นทั้งโอกาสของผลเลือกตั้งและนโยบายของนักการเมืองชัดเจนขึ้น หุ้นสหรัฐจึงเป็นตัวแปรที่จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงิน

กันยายน “September Is The Cruelest Month.”

เป็นคำเตือนว่าตลาดหุ้นมักพบกับความไม่แน่นอน และแรงขายอย่างรุนแรงในเดือนก.ย. ภาษิตนี้ถูกย้ำเตือนอีกครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา เมื่อ S&P500 ปรับตัวลงแรงถึง 4.9%

สำหรับในปีนี้ วันที่ 24 ก.ย.จะมีการประชุมระดับสูงของ UN General Assembly อาจนำไปสู่ข้อตกลงสำคัญระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันก็เป็นจังหวะที่เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันมาถึง 14เดือน สถิติในอดีตชี้ว่าเป็นช่วงที่สภาพคล่องจะหยุดไหลเข้า Money Market Fund และอาจกลับมาเข้าหุ้น

ทิศทางเงินดอลลาร์จึงมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงมากมายในเดือนนี้

ตุลาคม “October Effect.”

แม้จะเป็นชื่อเดือนเหมือน January Effect แต่กลับเป็นภาษิตใน “ทิศตรงข้าม” เพราะ October Effect เป็นการพูดถึงโอกาสที่ตลาดจะมีการปรับฐานแรง เช่นในเหตุการณ์ Black Tuesday ในปี 1929 ตามด้วย Black Monday ในปี 1987 ไปจนถึงวิกฤติ Great Financial Crisis ปี 2008 การปรับฐานของตลาดเกิดขึ้นในเดือน ต.ค.โดยไม่ทันตั้งตัวทั้งสิ้น

สำหรับปี 2024 เหตุการณ์สำคัญคือการประชุม BRICS Summit ที่รัสเซียเป็นเจ้าภาพในวันที่ 1

ด้วยจำนวนประชากรกว่า 46% ขนาดเศรษฐกิจราว 37% ของโลก และหลายประเทศกำลังมีความขัดแย้งทางการเมืองและการทหาร ความร่วมมืออาจนำไปสู่ขาขึ้นรอบใหม่ของหุ้น EM แต่ในทางกลับกัน อาจสร้างแรงกดดันด้านการเมืองระหว่างประเทศ บนตลาดการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พฤศจิกายน “Remember, Remember, The Fifth Of November.”

คำกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทกวีที่เกี่ยวข้องกับ “Guy Fawkes Night” ในสหราชอาณาจักรที่วางแผนระเบิดรัฐสภาอังกฤษ แต่แผนการนี้ถูกพบและป้องกันได้

ในปีนี้ วันที่ 5 พ.ย. จะเป็นอีกหนึ่งวันที่โลกต้องจดจำ เพราะจะเป็นการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐ

ในอดีต ตลาดการเงินทั่วโลกมักแกว่งตัวแคบก่อนการเลือกตั้ง แต่สถิตินี้เปลี่ยนแปลงไปในการเลือกตั้งสองครั้งหลังสุดในปี 2016 และปี 2020 ที่หุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นเกิน 5% ในเดือนเดียว และปรับตัวขึ้นต่อ 9-14% สามเดือนถัดไป

ดอลลาร์ บอนด์ยีลด์ และตลาดหุ้นสหรัฐ เป็นสามตัวแปรที่ต้องจับตาไปพร้อมกัน

และท้ายที่สุด ธันวาคม “Santa Claus Rally.”

เป็นปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปี โดยเฉพาะในช่วง 7 วันทำการระหว่างหลังวันคริสต์มาสถึงวันปีใหม่

การปรับตัวขึ้นท้ายปีมีเหตุผลสนับสนุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลคริสมาส การปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงปลายปี ไปจนถึงสภาพคล่องที่ลดลง ในอดีต ธ.ค.จึงเป็นเดือนที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นทั่วโลก

สำหรับปี 2024 จะจบปีด้วยการประชุมของทุกธนาคารกลางสำคัญ ไล่ตั้งแต่ ECB วันที่ 12 BOT วันที่ 18 FOMC และ BOJ วันที่ 19 ทั้งหมดจะเผยแนวโน้มนโยบายการเงินในปี 2025 ให้เห็น

โดยสรุป ภาษิตในช่วงครึ่งหลังของปีมักเป็นคำเตือนให้ระวังการปรับฐานตั้งแต่ไตรมาสที่สาม ก่อนที่จะปิดปีด้วยเดือนธันวาคมที่ฟื้นตัว

ปีนี้ ผมมองว่านโยบายการเงินที่ตลาดจับตามากในช่วงครึ่งแรก จะลดบทบาทลง สวนทางกับนโยบายระหว่างประเทศ และความเสี่ยงทางการเมืองที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

ตราสารหนี้ลงทุนได้เพราะไม่ได้มีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ แต่ในฝั่งของหุ้นทั่วโลก ควรระวังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนกลุ่มการลงทุน

และถ้าให้ผมเลือกหนึ่งภาษิตสำหรับปีนี้ ผมขอเลือก “The Time To Buy Is When There’s Blood In The Streets” หรือเวลาที่เหมาะสมของการลงทุนปีนี้ คือช่วงเวลาที่ตลาดปรับฐาน ขอให้ทุกคนรู้ทันโลกการเงินปี 2024 นะครับ