2023 Review : The Year of a Heated Cool-Down

สิ้นปี ณ วันที่ 29 ธ.ค. ดัชนีหุ้นสำคัญที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในปีนี้คือดัชนี Nasdaq ขึ้นมา 43.26% ขณะที่ดัชนี S&P500 ขึ้นมา 23.91% ในฝั่งตลาดหุ้นเอเชีย ดัชนี Nikkei225 ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้น 28.25% ขณะที่ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นไทย สร้างความผิดหวัง-15%

ปี 2023 ถือว่าเป็นอีกปีที่มีความผันผวนสูงสำหรับนักลงทุน เป็นปีที่การเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อนั้นมีการชะลอตัวลงมาและก็มีเหตุการณ์หลากหลายอย่างที่เกิดขึ้นที่สร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ล้มของธนาคาร การเกิด Bank runs ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย และยูเครนที่ยังดำเนินมายาวนานกว่าที่คิดรวมถึงการโจมตีของกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล และการเกิดปัญหากับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลกในภาคอสังหาริมทรัพย์ 

อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของสินทรัพย์ในปีนี้ในภาพรวมนั้นถือว่าดีกว่าที่คาดการณ์ของนักลงทุนอย่างมากเลยโดยเฉพาะในตลาดหุ้นสำคัญเช่นตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นก็สามารถกลับขึ้นมาทำจุดสูงสุดของปีได้ มากไปกว่านั้นบางดัชนีสามารถที่จะทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติศาสตร์ได้ด้วย 

ข้อมูลจาก Bloomberg จนถึงสิ้นปี ณ วันที่ 29 ธ.ค. ดัชนีหุ้นสำคัญที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในปีนี้คือดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นมา 43.26% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นมา 23.91% ในฝั่งตลาดหุ้นเอเชีย ดัชนี Nikkei225 ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้น 28.25% ขณะที่ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นไทย น่าจะสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนมากที่สุดเพราะปรับตัวลดลงสวนทางดัชนีหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยลดลงประมาณ -15%

ด้านตลาดตราสารหนี้นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวอย่างผันผวนในปีนี้ โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ตลาดเริ่มมีการคาดหวังว่าจะมีการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นส่งผลบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้ก่อนที่จะเกิดแรงเทขายโดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมจากการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อนั้นลงช้ากว่าคาดและอัตราดอกเบี้ยจะอยู่สูงยาวนานกว่าที่คาดจนส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐฯ นั้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดของอัตราผลตอบแทน (Yield) ที่ระดับประมาณ 5% จนทำให้มีช่วงเวลาที่การลงทุนในตราสารหนี้เกิดการติดลบขึ้นในปีนี้ นอกจากนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของยีลด์ยังเกิดจากความกังวลจากระดับหนี้ที่สูงในสหรัฐฯ และเกิดปัญหาในการเจรจาเพิ่มเพดานหนี้แต่สุดท้ายก็สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้สำเร็จ แต่ก็ทำให้มีการออกจำหน่ายพันธบัตรออกมาจำนวนมากซึ่งมีผลต่อยีลด์ให้ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสุดท้ายของปีตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาค่อนข้างทรงตัว ตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกลางนั้นเริ่มเปลี่ยนท่าทีด้านนโยบายการเงิน (Pivot) โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดนั้น แม้การประชุมล่าสุดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25%-5.50% เป็นการคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องใน 3 การประชุมล่าสุด แต่ก็สร้างความเซอร์ไพร์สให้กับตลาดโดยเริ่มมีการสื่อสารกับตลาดว่าเงินเฟ้อนั้นลดลงมามากกว่าที่ทางเฟดคาดการณ์ไว้ทำให้ที่ประชุมเฟดเริ่มมีการหารือกันในเรื่องเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดหรือนักลงทุนเคยคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้เกิดการปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 2024 ลงมาอย่างรวดเร็ว 

แม้เฟดจะส่งสัญญานผ่าน Dot plot ล่าสุดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีลงประมาณ 0.75% (หรือปรับลดครั้งละ 0.25% 3 ครั้ง) แต่ตลาดนั้นคาดการณ์ไปมากถึงการปรับลดที่ 1.5% หรือทั้งหมด 6 ครั้ง ซึ่งอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคมเลย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงจากระดับ 5% ในช่วงเดือนตุลาคมลงมาที่ระดับ 3.8% ในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้ราคาของพันธบัตรและตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ดัชนี Global Aggregate bond กลับมาเป็นบวกและให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีที่ 5.72% ขณะที่ดัชนี Global High yield bond นั้นเพิ่มขึ้นในปีนี้ถึง 14.04% 

ในภาพของตลาดหุ้นนั้นก็มีความคล้ายคลึงกับตลาดตราสารหนี้อยู่เช่นกันและเคลื่อนไหวไปตามการคาดการณ์การปรับหรือลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยที่ลดลง แม้มีประเด็นเรื่องวิกฤติธนาคารแต่ทางการก็สามารถที่จะเข้ามาจัดการได้อย่างทันทีและไม่เกิดการลุกลาม การคาดการณ์ถึงผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะผ่านจุดต่ำสุดและจะกลับมาขยายตัวได้ในปี 2567 และที่ร้อนแรงที่สุดคือการเกิดขึ้นของ Generative artificial intelligence ทำให้เกิดการตื่นตัวและมองว่าคือ Next big thing ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อการใช้งานด้านต่างๆ เพื่อเกิดประสิทธิภาพที่สูงกว่าเดิม ช่วยหนุนให้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่นั้นปรับตัวอย่างมาก 

หุ้น 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ถูกพูดถึงอย่างมากว่าเป็นตัวผลักดันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ในปีนี้ และช่วยให้ Valuation นั้นมีการถูกปรับเพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตมีมากในอนาคต นอกจากนี้การเปลี่ยนท่าทีของเฟดก็ช่วยให้เกิด year-end rally ได้หลังจากมีการปรับฐานในช่วงสิงหาคมถึงตุลาคม ทำให้ตลาดหุ้นนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีมากตามที่กล่าวไปข้างต้น

ส่วนในปี 2024 ภาพแนวโน้มใหญ่น่าจะยังคงดำเนินต่อเนื่องเหมือนในช่วงปลายปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะได้เห็นการลดอัตราดอกเบี้ยลงในธนาคารกลางส่วนใหญ่ทั่วโลกจากเงินเฟ้อที่ลดลงและการเติบโตที่ลดลงและคาดว่าจะยังไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นซึ่งจะช่วยให้ภาพการลงทุนในตราสารหนี้และตลาดหุ้นยังได้ประโยชน์ ซึ่งในบทความเดือนหน้าเราจะมาขยายภาพมุมมองการลงทุนปี 2024 อีกครั้ง และในปีใหม่นี้ขอให้นักลงทุนมีความสุขและมีแต่สิ่งที่ดีตลอดปีครับ

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรติดต่อเพื่อสอบถาม รับข้อมูลเพิ่มเติมและเฟ้นหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน