กำไร ‘ภาคอุตฯ จีน’ พ.ย. พุ่ง 29.5% พยุงกำไรทั้งปี หลังอุปสงค์ขยายจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

กำไร ‘ภาคอุตฯ จีน’ พ.ย. พุ่ง 29.5% พยุงกำไรทั้งปี หลังอุปสงค์ขยายจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

"ผลกําไรภาคอุตสาหกรรม" ของจีนในเดือนพ.ย. พุ่งสูงขึ้น 29.5% โดยได้รับแรงหนุนจากฐานที่ต่ำเมื่อปีที่แล้ว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ต้องการต่อสู้กับสภาวะเงินฝืดในประเทศจนทำให้อุปสงค์ในประเทศเพิ่ม

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.66 ว่า กำไรของภาคอุตสาหกรรมจีนเดือนพ.ย.66 ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 29.5% และเร่งตัวขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ในเดือนพ.ย.66 บริษัทเอกชนในประเทศจำนวนมากยังบันทึกผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างมาก

ผลกำไรจากภาคอุตสาหกรรมย้อนหลังของจีน ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 รัฐบาลปักกิ่งหยุดเผยแพร่ข้อมูลตัวเลขสถิติในประเทศ เนื่องจากมาตรการโควิดเป็นศูนย์ (ZeroCovid) ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งทางการเพิ่งจะกลับมาเผยแพร่ตัวเลขอีกครั้งในปีนี้

โดยแม้กว่าในช่วงต้นปีนักวิเคราะห์จำนวนมากจะประเมินว่าการกลับมาเปิดประเทศของจีนอีกครั้งจะช่วยดันเศรษฐกิจโลกให้เติบโตได้ ทว่าในความเป็นจริงผลกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของจีนตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึง พ.ย. ยังคงหดตัวต่อเนื่องที่ 4.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (YOY) ในขณะที่ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ลดลงมากถึง 7.8%  

สถิติข้างต้นสะท้อนอย่างชัดเจนว่า การเติบโตของกำไรในภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. เข้ามาทำให้สถานการณ์ในภาคส่วนดังกล่าวดีขึ้น 
 

ด้าน หยู เหว่ยหนิง (Yu Weining) นักวิเคราะห์จากเอ็นบีเอส เผยว่า การปรับตัวขึ้นครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลกลางปักกิ่งจนทำให้อุปสงค์ในประเทศเริ่มขยายตัว และทำให้อัตราการผลิตปรับตัวสูงขึ้นจนกระทั่งกำไรในภาคส่วนนี้ขยับขึ้นตามไป


ด้าน บรูซ ปัง (Bruce Pang) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ แผนกจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ Jones Lang LaSalle Inc. เผยว่า บรรดาบริษัทในประเทศน่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นจีน และเงินหยวนในเดือนพ.ย. รวมทั้งผลตอบแทนจากการลงทุน และการเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำจากปีที่แล้วมีผล "ประมาณครึ่งหนึ่ง" ของการเติบโตของกําไรโดยรวมครั้งนี้ 

อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก ระบุว่า ตลาดหุ้นจีนไม่ตอบสนองต่อตัวเลขดังกล่าวเพราะ ดัชนี CSI 300 ในประเทศร่วงลงมากถึง 0.5% หลังจากการประกาศตัวเลขดังกล่าว ก่อนที่จะเพิ่มขึ้น 0.4% ในช่วงพักเที่ยงของวันที่ 27 ธ.ค.66 ขณะที่ ดัชนี MSCI Asia Pacific Index ปรับตัวขึ้นประมาณ 1% ในวันเดียวกัน


อนึ่ง การเพิ่มขึ้นของกำไรในภาคอุตสาหกรรมครั้งนี้เพิ่มสัญญาณผสมผสานเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน ในขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสูงกว่าประมาณการในเดือนพ.ย. แต่ราคาผู้บริโภคกลับลดลงอย่างมากในรอบสามปี ต้นทุนหน้าโรงงาน (Factory-gate Costs) ลดลงอย่างรวดเร็ว คําสั่งซื้อใหม่ที่ได้รับจากผู้ผลิตหดตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.และโรงงานต่างๆ ลดขนาดการซื้อปัจจัยการผลิตเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
 

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก ระบุเพิ่มเติมว่า สัญญาณของภาวะเงินฝืดกลายเป็นประเด็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลายมากขึ้นทั่วประเทศจีน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและอุปสงค์ในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องจนทําให้เกิดข้อสงสัยว่ากําไรที่เพิ่มขึ้นจะยั่งยืนได้หรือไม่

โดยทางการจีนได้รับแรงกดดันให้เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เช่นนั้นก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะตกอยู่ในภาวะขาลงหากความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย และลงทุนของภาคครัวเรือน และบริษัทเอกชนหดตัว

รัฐบาลจีนคาดว่าจะตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างทะเยอทะยานไว้ที่ประมาณ 5% สําหรับปีหน้า ซึ่งเหมือนกับเป้าหมายในปีนี้ แต่จะประสบความสําเร็จได้ยากกว่าเพราะต้องนำการเติบโตมาเปรียบเทียบกับฐานของปีนี้ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับในปี 2023 ที่เทียบกับช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่การเติบโตยังอยู่ในระดับต่ำ

ขณะที่ บันทึกจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฉางเจียง (Changjiang Securities) เผยว่า อุปสงค์ภายนอกสําหรับสินค้าจีนยังอ่อนแอโดยดัชนีวัดราคาส่งออกในเดือนต.ค. แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์การสต็อกสินค้าของภาคอุตสาหกรรมยังไม่สิ้นสุด และบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคปลายน้ำอาจยังคงดิ้นรนกับสต็อกสินค้าที่ยังมีมากเกินความต้องการที่จะรับสินค้าใหม่เข้ามา

ขณะที่ ซิง จ่าวเผิง (Xing Zhaopeng) นักยุทธศาสตร์อาวุโสของกลุ่มธนาคารออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ (Australia & New Zealand Banking Group) กล่าวว่า ผลกําไรในเดือนพ.ย.สะท้อนให้เห็นถึงการปรับปรุงในอุตสาหกรรมต้นน้ำเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคา และการเติมสต็อกในบางภาคส่วน

พร้อมเสริมว่า อย่างไรก็ตาม "ภาพรวมคือวัฏจักรการสต็อกสินค้ายังไม่ถึงจุดสิ้นสุด และเราต้องการเห็นจุดต่ำสุดของสินค้าคงเหลือเพื่อยืนยันการพลิกกลับของแนวโน้มการเติบโต"

อ้างอิง

Bloomberg 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์