สมาคมนักวิเคราะห์ฯ เปิด TOP 5 กองทุน Thai ESG เปิดขาย 15 วันแรก

สมาคมนักวิเคราะห์ฯ เปิด TOP 5 กองทุน Thai ESG เปิดขาย 15 วันแรก

กองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG ของ บลจ. 16 แห่ง ได้เปิดขายไปแล้ว 15 วัน  ยอดรวม ณ วันที่ 22 ธ.ค. 66 มียอดรวมกันใกล้ถึง 3,000 ล้านบาท หลายท่านได้เข้าซื้อลงทุนกันไปแล้ว คาดว่า 23-28 ธ.ค. จะมีผู้ที่ตามเข้ามาสมทบอีกจำนวนมาก 

เพียงแต่ยังรอดูจังหวะ และอาจยังใช้เวลาเลือกดูว่าจะไปเข้าที่กองไหน กับเลือกของ บลจ.ไหน  รวมถึงเทียบค่าบริหารกองทุนและค่าใช้จ่ายในชื่ออื่น ๆ ของแต่ละกองทุนมาเทียบกัน

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่า เราลองมาดูว่า 15 วันแรก ใครเป็นผู้นำ 5 อันดับแรก ของการมีมูลค่าทรัพย์สินกองทุน (NAV) มากที่สุด  เพื่อให้คุณผู้อ่านได้รู้ว่า กองที่เราได้เลือกไป มีเพื่อน ๆ ร่วมอุดมการณ์ในกองเดียวกันมากหรือเปล่า  

ขณะที่คุณผู้อ่านที่ยังเลือกไม่เสร็จ อาจได้จุดตัดสินใจว่าเลือกไปทางเดียวกับคนกลุ่มใหญ่  หรือจะใช้ทฤษฎีสวนทางไม่ไปกับคนส่วนใหญ่ก็เป็นได้  

สมาคมนักวิเคราะห์ฯ เปิด TOP 5 กองทุน Thai ESG เปิดขาย 15 วันแรก

บลจ.ที่กวาดยอดไปได้มากที่สุด 5 อันดับ

อันดับ 1 บลจ.กสิกรไทย 

กวาดไปได้ 582 ล้านบาท โดยตั้งแค่กองเดียวเน้น ๆ ในแบบ Passive Fund (ลงทุนแบบเกาะไปตามดัชนีอ้างอิง) ชื่อ เคTarget Net Zero ชนิดเก็บสะสมกำไรโดยไม่จ่ายปันผล เป็นกองที่จะเกาะไปกับหุ้นดัชนี SET100 TRI ที่มีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  ผมมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลการเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จริง ในหนังสือชี้ชวน แจ้งไว้ว่าเก็บค่อนข้างต่ำกว่าคู่ต่อสู้ โดยเก็บเพียง 0.67% ต่อปี (ไม่รวมกรณีสับเปลี่ยนกองทุนไป บลจ.อื่น) 

อันดับ 2 บลจ.ไทยพาณิชย์ 

ยุทธวิธีของ บลจ.นี้แตกต่างจากทางกสิกรอย่างมาก  โดยตั้งประเภทกอง Thai ESG ไว้ถึง 6 แบบด้วยกัน  แบ่งเป็น 3 แนวทาง คือ แบบกองผสม (หุ้นและตราสารหนี้แบบยืดหยุ่นน้ำหนัก) แบบกอง Active (คือใช้ฝีมือผู้จัดการกองทุนมากและคิดค่าธรรมเนียมสูง)  และแบบกอง Passive (ลงทุนแบบเกาะน้ำหนักตามดัชนี และคิดค่าธรรมเนียมต่ำ)  ทั้งนี้ ทั้ง 3 แบบข้างต้น ก็จะแบ่งกองเป็น 2 ชนิดให้เลือก คือ แบบจ่ายปันผล กับไม่จ่ายปันผล อีกด้วย สรุปแล้วจึงมี 6 กองทุน  เมื่อรวมกัน มียอด NAV รวมกันทั้ง 6 กอง 515 ล้านบาท  เท่าที่ดูตัวเลขรายกอง พบว่า แบบกองผสมมียอดซื้อมากสุด  และกองที่มีนโยบายปันผลมียอดสูงกว่ากองที่ไม่มีนโยบายปันผล

อันดับ 3 บลจ.บัวหลวง 

ตั้งกองเดียวในแบบกอง Active ชื่อ บัวหลวงทศพลไทยเพื่อความยั่งยืน ตั้งเป้าลงทุนหุ้นที่มี ESG ที่ดี และคัดเลือกว่าจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด 10 อันดับแรก เก็บค่าธรรมเนียมในระดับกลาง ๆ ราว 1.6% ต่อปี สอดคล้องกับความเป็นกอง Active ซึ่งผมสังเกตว่าเก็บต่ำกว่ากอง Active ของหลายค่ายที่เก็บแถว 2%ต่อปี  ผลจากยุทธวิธีนี้ บัวหลวงเข้าป้ายได้สูงเป็นอันดับ 3 รวม NAV ล่าสุด 421 ล้านบาท

อันดับ 4 บลจ.กรุงไทย

ใช้ยุทธวิธีออกเป็น 3 กอง ใน 3 แนวทางให้เลือก คือ 1.แบบผสมหุ้น ESG เกรด A กับตราสารหนี้ ในสัดส่วน 70/30  ส่วนแนวทาง 2. Active Fund ลงในหุ้น ESG เกรด A  และแนวทาง 3. หุ้น ESG 50 ตัวที่ใหญ่สุด  โดยทั้ง 3 กองมีนโยบายจ่ายปันผลเช่นเดียวกัน สามารถกวาดยอด NAV มาได้รวมกัน 277 ล้านบาท โดยกองที่ขายดีสุดคือกองแบบผสมหุ้นกับตราสารหนี้ 70/30 

อันดับ 5 บลจ.เกียรตินาคินภัทร 

ซึ่งมาด้วยการเสนอเป็น 2 กองทุนที่ต่างกัน 2 ขั้ว คือ กองพันธบัตรรัฐบาล  กับกองหุ้นในแนว Active Fund ซึ่งนับเป็นเครือธนาคารเล็กที่กวาดยอดได้มากที่สุด รวมได้ถึง 231 ล้านบาท โดยกองพันธบัตรขายดีกว่ากองหุ้น

ส่วนอีก 11 บลจ. เช่น กรุงศรี ทิสโก้ ยูโอบี และ บลจ.อื่น ๆ นั้นก็มียอดลดหลั่นกันลงไป ตั้งแต่ 100 กว่าล้านบาท ลงไปถึงระดับหลายสิบล้านบาท และน้อยสุดคือ ต่ำกว่า 10 ล้านบาท 

เมื่อพิจารณายอดของแต่ละกอง Thai ESG แล้ว มีข้อสังเกตถึงตัวแปรที่มีผลต่อยอดการซื้อของผู้ลงทุน ดังนี้

เมื่อพิจารณายอดของแต่ละกองทุน Thai ESG แล้ว นายสมบัติ มีข้อสังเกตถึงตัวแปรที่มีผลต่อยอดการซื้อของผู้ลงทุน ดังนี้

เครือธนาคารใหญ่ได้ยอดค่อนข้างสูง อาจหมายถึงมีฐานลูกค้ามากกว่า ความสะดวกใน App ที่มีอยู่เดิม และจำนวนสาขาบริการ หรือเป็นแบรนด์ที่นึกได้ทันทีที่สนใจซื้อ ผลจากประเด็นนี้ ทาง บลจ.ที่อยู่เครือธนาคารเล็กหรือไม่อยู่ในเครือธนาคารอาจต้องเร่งประชาสัมพันธ์อีกหน่อย เพราะแต่ละ บลจ.ก็มีความน่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนกัน 

อาจไม่จำเป็นต้องมีแยกจำนวนกองมาก ๆ ก็มียอด NAV มากกว่าได้ แบบอันดับ 1 กสิกรไทย กับอันดับ 3 บัวหลวง สันนิษฐานว่าจำนวนกองที่น้อยทำให้เจ้าหน้าที่และลูกค้าทำความเข้าใจได้ง่ายและเร็ว ช่วยให้กระบวนการซื้อเกิดขึ้นเร็วด้วย

ค่าธรรมเนียมต่ำมีผลพอสมควร ตัวอย่างจากอันดับ 1 กสิกร มีระบุค่าธรรมเนียมที่เก็บจริงค่อนข้างต่ำกว่า บลจ.อื่น ซึ่งในกรณีกอง Thai ESG มีข้อบังคับให้ต้องถือยาว 8 ปีเต็ม นั่นจึงหมายถึง ผู้ซื้อกองทุนจะมีค่าใช้จ่ายสูงเป็น 8 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปีที่ประกาศ อัตราที่ต่างกัน 1-1.5% ต่อปี  เมื่อถือไป 8 ปี จึงมีค่าใช้จ่ายกันต่างกันรวม 8-12%  ดังนั้น หาก บลจ.ใดจะมีแคมเปญเรื่องคิดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ดึงดูดใจ นายสมบัติ แนะนำให้ประกาศเด่น ๆ ชัด ๆ น่าจะขายดีขึ้น

ในรายที่มีหลายกองนั้น กองที่ผสมตราสารหนี้กับหุ้น ขายดีกว่า คาดว่าผู้ลงทุนรู้สึกสบายใจในความเสี่ยงที่ลดลง

ระหว่างกองที่ปันผลกับไม่ปันผล ผู้ซื้อเหมือนจะชอบกองที่จ่ายปันผลมากกว่า ทั้งที่ว่า การรับเงินปันผลต้องเสียภาษีของเงินปันผล แต่ถ้าเก็บสะสมเอาไว้จนวันที่เราอยู่ครบ 8 ปี ไปขายรับเงินทั้งหมดจะไม่เสียภาษี  ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้ลงทุนชอบรับปันผลจากกำไรเป็นรายได้ประจำปี  หรือเป็นเพราะไม่ได้รับทราบว่า ถ้ารับปันผลจะถูกเก็บภาษี ณ ที่จ่าย

ท้ายนี้ นายสมบัติ แจ้งว่า ท่านที่เตรียมเข้าซื้อกอง Thai ESG ในช่วงท้าย ๆ ปีว่า ปีนี้ วันที่ 29 ธันวาคมเป็นวันหยุด  จึงซื้อได้ไม่เกินวันที่ 28 ธันวาคม   และต้องไม่เกินช่วงบ่าย (อย่ารอจนเย็น) ตามกำหนดเวลาที่ธนาคารหรือ บลจ. แต่ละแห่งกำหนด