‘โลกไม่แน่นอน’ ยังมีโอกาสใน ‘หุ้นสหรัฐ’

‘โลกไม่แน่นอน’ ยังมีโอกาสใน ‘หุ้นสหรัฐ’

“ความไม่แน่นอน ปี 2566” กำลังเดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายของปี ช่วงเวลานี้ “ตลาดหุ้น” มักจะเป็น “ขาขึ้น” ก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ปีนี้ก็เกิดสิ่งไม่คาดคิดวันดีคืนดี ! ก็เกิดขึ้นสงครามตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ที่ทวีความรุนแรงขึ้น

Key points: 

  • "ตลาดหุ้นสหรัฐ" ปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมา และก็ “รีบาวด์” ขึ้นมาได้
  • "ปู่ Buffett" เคยบอกไว้ว่า  “อย่าแทงสวนอเมริกา” สุดท้ายแล้ว ดัชนีฯ จะกลับมาขึ้นอยู่ดี
  • ลงทุนโค้งท้ายปี เน้นการลงทุน  ระยะยาว -หุ้นคุณภาพ ใน3ตัวอย่างกลุ่มหุ้นสหรัฐ
  •  เปิดสูตรจัดพอร์ต เน้นกระจายความเสี่ยง-หลากหลายสินทรัพย์ ด้วยการแบ่งไม้ลงทุน 6-12 ส่วน ระยะ1 ปี หรือ สะสม DCA ทุก2เดือนในจำนวนเงินเท่ากัน

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา “สินทรัพย์ปลอดภัย” กลับมาเป็นที่ต้องการอีกครั้ง หลังผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ยังอยู่บริเวณ “จุดสูงสุด” ที่ 5 % 

แต่จะเห็นว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐ” ยังสามารถปิดในแดนบวกได้ เวลานี้อาจจะเร็วไปที่จะประเมินผลกระทบได้ สำหรับนักลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงการลงทุนอยู่แล้ว “ผู้จัดการกองทุน” ยังมองว่าสามารถทยอยลงทุนได้เหมือนเดิม

‘โลกไม่แน่นอน’ ยังมีโอกาสใน ‘หุ้นสหรัฐ’

“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ กล่าวว่า ทั้ง เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย ตลาดหุ้นของสหรัฐ กำลังอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ! เพราะอย่างน้อยตลาดหุ้นสหรัฐได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมา และก็ “รีบาวด์” ขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะตลาดหุ้น NASDAQ ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากกลุ่มเทคโนโลยีที่มีน้ำหนักมากสุดในตลาดนี้ ท่ามกลางผลประกอบการที่พลิกฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง

หากดูการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ในปีนี้ภายใต้ดอกเบี้ยสูงระดับ 5.25-5.50% มองว่าไม่ได้แย่เกินคาด ตลาดแรงงานสหรัฐยังมีความแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังไม่กลับมาสู่กรอบเป้าหมาย 2% ดังนั้น จึงส่งผลให้เฟดจะยังคงนโยบายดอกเบี้ยระดับสูงต่อไปทำให้ตลาดมองว่า ภาพเศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงจากการค้างดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับสูง

‘โลกไม่แน่นอน’ ยังมีโอกาสใน ‘หุ้นสหรัฐ’
สำหรับการลงทุนในช่วงโค้งท้ายปีนี้

หลายคนยังลังเลว่า “จะเหยียบคันเร่งไปต่อ” หรือ “ผ่อนคันเร่งรอดูอีกระยะ” แนะนำว่า ปู่ Buffett เคยบอกไว้ว่า Never bet against America หรือ “อย่าแทงสวนอเมริกา” สุดท้ายแล้ว ดัชนีฯ จะกลับมาขึ้นอยู่ดี

สำหรับภาวะที่ตลาดยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ต้องมอง คือ "การลงทุนระยะยาว” มุ่งหา “หุ้นคุณภาพ” ที่มีธุรกิจเติบโตดี มีความสามารถทำกำไรในระยะยาวได้ดี จะต้องมีจุดแข็งที่คู่แข่งก็ตามไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม ข้อได้เปรียบจากขนาด (Economy of Scale) หรือเป็นแบรนด์ที่มีอิทธิพลต่อโลก

ยกตัวอย่าง 1.หุ้นที่ปู่ Buffett ถืออันดับต้นๆ Apple, Bank of America, American Express, Coca-Cala, Chevron เป็นต้น 

2. หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Google Microsoft ที่ไตรมาส 2 ปีนี้ ผลดำเนินงานเติบโตสูงเป็นต้น 

3.หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) หุ้นคุณค่า (Value Stock) และ4.หุ้นที่ราคาปรับขึ้นช้า (Laggard Stock) มีโอกาสที่จะกลับเป็นขาขึ้นตามสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก

วิธีลงทุนแนะนำให้ใช้ คือ ‘แบ่งไม้ลงทุน’ เหมาะสมที่สุด เริ่มแบ่งซัก 6-12 ส่วน ค่อยๆ เริ่มลงทุน โดยมองภาพการลงทุนในระยะยาว 1 ปีข้างหน้า

และ อีกวิธีเป็น 'การทยอยลงทุน DCA' (Dollar -Cost Averaging) ถัวเฉลี่ยการลงทุนเป็นรายเดือนหรือทุก 2 เดือนก็ได้ ด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กันในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาว

ที่สำคัญ “สูตรจัดพอร์ตลงทุน” ตอบโจทย์ภาวะการลงทุนที่ไม่แน่นอนในเวลานี้ คือ "ควรมีการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) และการกระจายความเสี่ยง (Diversification)”

 

‘โลกไม่แน่นอน’ ยังมีโอกาสใน ‘หุ้นสหรัฐ’

“บดินทร์ พุฒอินทร์" ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (18 ต.ค.2566) หุ้นสหรัฐสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีโดย S&P500 IT ทำผลตอบแทนได้ 36.49% , NASDAQ 27.21% , S&P500 12.37% ขณะที่หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว อย่าง NIKKEI225 ทำผลตอบแทนได้ 20.51% ,STOXX600 ทำได้ 4.74% 

ขณะที่กลุ่มประเทศในเอเชียยังทำผลตอบแทนได้คละกันไป โดยกลุ่มที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นได้แก่ VN30 ของเวียดนามทำได้ 11.02% และ SENSEX ของอินเดียทำได้ 8.28% และกลุ่มประเทศที่ทำผลตอบแทนได้น่าผิดหวังในปีนี้ คือ CSI300 ของจีน -8.1% และ SET Index ของไทย -14.7%

ขณะที่ในฝั่งของตราสารหนี้โลกกลุ่ม High Yield ทำผลตอบแทนได้ 4% ,กลุ่ม Government Bond -4.8% และกลุ่มInvestment Grade -3.55% และในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์ถือว่ามาแรงในช่วงปลายปีในชวงเกิดเหตุการณ์สงคราม อิสราเอล-ฮามาส โดย ทองคำทำผลตอบแทนได้ 6.6% และน้ำมันทำผลตอบแทนได้ 9.6%