ลุ้น‘ทองคำ’พุ่งรับวันชาติจีน เปิดสถิติ 5 ปีย้อนหลัง ราคาขยับขึ้นทุกปี

ลุ้น‘ทองคำ’พุ่งรับวันชาติจีน  เปิดสถิติ 5 ปีย้อนหลัง ราคาขยับขึ้นทุกปี

ในสัปดาห์แรกเดือนต.ค. ของทุกปี จะตรงกับวันหยุดยาวของ “คนจีน” ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็น “วันชาติจีน” (1ต.ค.ของทุกปี) และในปี 2566 ครบรอบ 74 ปี ! โดยจะมีวันหยุดตั้งแต่วันที่ 1-7 ต.ค. 2566

ซึ่งในช่วงดังกล่าวคนจีนจะเฉลิมฉลองและเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางของคนจีน  จะเห็นภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยมีการเตรียมการต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนที่คาดจะมาเที่ยวไทยจำนวนมากแล้ว     

ข้ามฟากมาที่สินทรัพย์การลงทุนที่ “โดดเด่น” รับวันชาติจีน คงต้องยกให้ “ทองคำ” สะท้อนจากสถิติที่ผ่านมาช่วงหยุดวันชาติของจีนประมาณ 1 สัปดาห์ ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นราว 1.19%

ดังนั้น ถือเป็นแรงหนุนให้"ราคาทองคำ"ในปี 2566 ยังทรงตัวในระดับสูง แม้จะมี “ปัจจัยกดดัน” จากค่าเงินในภูมิภาคเอเชียที่ยังอยู่ในโซน “อ่อนค่า” นั้นเอง !  

ลุ้น‘ทองคำ’พุ่งรับวันชาติจีน  เปิดสถิติ 5 ปีย้อนหลัง ราคาขยับขึ้นทุกปี

ทั้งนี้ ภาพรวมของตลาดการลงทุนทั่วโลกในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ในมุมมองในตลาดเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่สดใสนัก กระทบ “เงินดอลลาร์-บอนด์ยีลด์” มีแนวโน้มปรับตัวลง ฉะนั้น ยิ่งเป็นแรงส่งให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ดังจะเห็นจากทิศทางราคาทองคำขยับปรับตัวขึ้นและยังมีแนวโน้มขึ้นต่อได้อีกหลังจากนี้ 

ขณะที่ ธนาคารกลางจีน ซึ่งว่าถือเป็นธนาคารกลางรายใหญ่และเป็นผู้นำในการเข้าซื้อทองคำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศจีนยังคงกระจายทุนสำรองของตนอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการใช้นโยบายการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ (De-Dollarization) ซึ่งจะช่วยให้ราคาทองคำยังคงลอยตัวอยู่ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะสูงขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลก จะทำให้ความต้องการของทองคำแท่งที่ไม่มีดอกเบี้ยลดลง  

สำหรับการปรับตัวของ “ราคาทองคำ” รอบนี้ !! มีการปรับตัวขึ้นมากที่สุด และมีโอกาสทะลุแนวต้านเดิมได้ ในระดับสูงสุดเดือนส.ค. อยู่ที่ 1,966 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ดังนั้น ช่วงที่เหลือของปี 2566 ทิศทางทองคำจะเป็นเช่นไร “กรุงเทพธุรกิจ” สอบถามมุมมองเหล่า “กูรูแวดวงทองคำ” มาให้ฟังว่า 

ข้อมูลจากบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน เเอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG พบว่า หากพิจารณาจากสถิติย้อนหลัง 5 ปี (ปี2561-2565) ในสัปดาห์วันชาติ ราคาทองคำต่างประเทศ (Gold Spot) ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 11.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 0.66% ล่าสุดในปี 2565 ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ดีถึง 32.97 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ขณะที่ ราคาทองคำในประเทศของไทย ในสัปดาห์วันชาติ ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 270 บาทต่อบาททองคำ หรือราว 1.19% โดยมีเพียงปี 2562 และ 2563 ที่ราคาทองคำในประเทศปรับตัวลง เพียงแค่ 50 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่อีก 3 ปีที่เหลือราคาทองคำในประเทศปรับตัวขึ้นได้ถึงระดับ 300-650 บาทต่อบาททองคำ 

นอกจากนี้ หากมองย้อนกลับไปในรอบ 1 สัปดาห์ก่อนวันชาติจีน พบว่า ราคาทองคำต่างประเทศ ก็ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 13.02 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 0.70% ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 320 บาทต่อบาททองคำ หรือราว 1.13% โดยมีเพียงปีเดียวในปี 2561 ที่ราคาทองคำนั้นปรับตัวลดลง 

ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YLG บอกว่า มองว่าแม้ว่าราคาทองคำในช่วงเวลาดังกล่าวจะปรับตัวขึ้นได้ แต่ในมุมของการลงทุน ยังคงแนะนำให้นักลงทุนยังต้องเฝ้าระวังทิศทางเศรษฐกิจจีนปีนี้ที่ยังอ่อนแอ ซึ่งถือว่าสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลจีนจำเป็นที่จะต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังจากที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง

ดังนั้น หากมาตรการที่เข้ามาเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้ดี อาจส่งผลให้ “เงินหยวน” กลับมามีทิศทางแข็งค่าได้อีก ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยกดดันต่อดัชนีเงินดอลลาร์ และจะกลับมาเป็นแรงสนับสนุน “ราคาทองคำ” ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในหลายปัจจัยจนถึงวันชาติจีน ยังแนะนำให้เข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลง ที่แนวรับ 1,884-1,851 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,884 ระดับต่ำสุดเดือนส.ค.) และให้ขายทำกำไรหากราคาดีดตัวไม่ผ่านแนวต้าน 1,966 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับสูงสุดเดือนส.ค.) แต่หากผ่านได้ประเมินแนวต้านถัดไปที่ 1,987 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับสูงสุดเดือนก.ค.)

ตรงกันข้าม หากราคาไม่สามารถยืนแนวรับแรกได้ ให้ตัดขาดทุนเพื่อควบคุมความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน เพื่อรอจังหวะการเข้าซื้อรอบใหม่อีกครั้ง เมื่อราคาสร้างฐานในโซนแถวระดับ 1,804-1,809 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับต่ำสุดของเดือนก.พ.-มี.ค.และระดับต่ำสุดของปี 2566) ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ มองกรอบแนวรับที่ 30,700-31,200 บาทต่อบาททองคำ แนวต้านด้านบนที่ 32,600-32,950 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณด้วยค่าเงินบาท 34.97 บาทต่อดอลลาร์ ณ 31 ส.ค.2566) 

จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี กล่าวว่า ช่วงวันชาติจีนปกติแล้ว ราคาทองคำ มักจะปรับตัวขึ้นได้และการปรับขึ้นของราคาทองคำรอบนี้มีโอกาสทะลุแนวต้านเดิม 1,987 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ระดับสูงสุดเดือนก.ค. และหากเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณการฟื้นตัว ค่าเงินหยวนกลับมาแข็งค่าได้ จะหนุนค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าตามไปด้วย ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ดีมาก ซึ่งทิศทางเงินดอลลาร์และบอนด์ยีดล์ปรับลดลง 

ดังนั้น มองว่าพอลุ้นทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยให้กลับมาเป็นที่น่าสนใจและนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนได้ โดยอาจดันราคาทองคำน่าจะปรับขึ้นได้ต่ออีก แต่อย่างไรก็ตามในจังหวะนี้ก็ยังต้องระมัดระวังราคาทองคำ เพราะถือว่า “ค่อนข้างแพง” แล้ว ซึ่งอาจจะรอจังหวะย่อตัวแล้วค่อยทยอยสะสมได้ 

“มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หากเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน ดังนั้น ราคาทองคำมีโอกาสที่ปรับตัวขึ้นได้อีก และมีโอกาสที่จะทะลุแนวต้านเดิม 1,987 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของเดือนก.ค. ได้” 

สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงวันชาติของจีนคาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการซื้อทองคำเมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลตรุษจีนของทุกปี ซึ่งคาดว่าแนวโน้มราคาทองคำมองแนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน อยู่ที่ 1,915 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้านที่จุดสูงสุดก่อนหน้านี้ อยู่ที่1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

โดยหากคิดเป็นราคาทองคำแท่งของไทย แนวรับอยู่ที่ 31,850 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้าน 32,950 บาทต่อบาททองคำ แต่อย่างไรก็ตามมองแนวโน้มราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาช่วงนี้ มาจากแรงซื้อ “เก็งกำไร” หลังจากหลุดระดับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และยังเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบแคบ ซึ่งคงต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ดังนั้น แนะนำถือเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนราว 5-10% ของพอร์ตรวม