“มีที่ มีเงิน” ตั้งเป้าติดท็อป 5 ธุรกิจสินเชื่อที่ดินในปีหน้า

“มีที่ มีเงิน” ตั้งเป้าติดท็อป 5 ธุรกิจสินเชื่อที่ดินในปีหน้า

มีที่ มีเงิน ตั้งเป้าติดอันดับ 1 ใน 5 ของธุรกิจปล่อยสินเชื่อที่ดินภายในปีหน้า หลังยอดสินเชื่อเติบโตแบบก้าวกระโดดจากหลัก 1 พันล้านเมื่อต้นปี เป็นหลัก 7 พันล้าน ในปลายปีนี้ พร้อมเปิดเกมบุกธุรกิจผลิตภัณฑ์ “ขายฝาก” ที่ดิน ดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาดถึง 5%

บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ได้เริ่มทำธุรกิจสินเชื่อที่ดินตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นสถาบันการเงินได้ แม้จะมีที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน จัดตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 1 พันล้านบาท มีธนาคารออมสินเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 49% ตั้งเป้าติดอันดับ 1 ใน 5 ของธุรกิจสินเชื่อที่ดินภายในปีหน้า จากปัจจุบันมีผู้ให้บริการรายใหญ่อยู่จำนวน 3 แห่ง

นายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด เปิดเผยว่า ผลดำเนินการครึ่งปีแรกบริษัทได้อนุมัติสินเชื่อไปประมาณ 3 พันล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการได้ 853 ราย ส่งผลให้บริษัทเริ่มมีรายได้ และมีกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกในเดือนพ.ค.และมิ.ย. จำนวน 5 ล้านบาท โดยคาดว่า ตลอดทั้งปี จะมีกำไรสุทธิกว่า 30 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลัง เตรียมส่งผลิตภัณฑ์ “ขายฝาก” ออกให้บริการประชาชน และผู้ประกอบการ อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด 5% คล้ายกับสินเชื่อที่ดิน “จำนอง” ที่ได้เปิดให้บริการไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ในช่วงแรกที่เราเริ่มธุรกิจ ไตรมาสแรกเราปล่อยสินเชื่อได้หลักพันล้านบาท โดยมีพันธมิตร และผู้ถือหุ้นสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อ คือ ธนาคารออมสิน แนะนำลูกค้าที่ต้องการสินเชื่อที่ดิน (จำนอง) มาให้บริษัท แต่จะเป็นกรณีที่ไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อได้ บริษัท ก็เข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าเหล่านี้ต่อ แต่เรายังจำกัดการปล่อยสินเชื่อในพื้นที่ 10 จังหวัดขนาดใหญ่ ต่อมาก็ขยายการปล่อยสินเชื่อไปทั่วประเทศ ทำให้ยอดสินเชื่อเราขยายตัวแบบก้าวกระโดดภายในระยะเวลา 6 เดือนเท่านั้น”

นายอิสระ กล่าวว่า ความต้องการสินเชื่อที่ดินยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราเตรียมขอเงินกู้จากธนาคารออมสินเพิ่มเติมอีก 5 พันล้านบาท จากเดิมที่ระยะแรกเราขอใช้เงินกู้ไปแล้วจำนวน 5 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่า จะเพียงพอต่อการปล่อยสินเชื่อในช่วงปีนี้ ถึงช่วงต้นปีหน้า ทั้งนี้ คาดว่า ภายในปีนี้ เราจะปล่อยสินเชื่อได้ประมาณ 7 พันล้านบาท ส่วนปีหน้ายอดสินเชื่อน่าจะอยู่ในหลักหมื่นล้านบาท หรือ ติด 1 ใน 5 ของธุรกิจสินเชื่อที่ดิน

“จากความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการที่มีอย่างต่อเนื่อง เราจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือประชาชน และผู้ประกอบการได้ โดยไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบที่เสียอัตราดอกเบี้ยแพง จึงทำให้ผลประกอบการของบริษัทในขณะนี้ อยู่ในเกณฑ์ดี โดยสามารถเบรกผล การขาดทุนต่อเดือนได้สำเร็จ และเริ่มมีกำไรสุทธิครั้งแรกเดือนพ.ค.ประมาณ 1 ล้านบาท และเดือนมิ.ย. มีกำไรสุทธิอีกประมาณ 4 ล้านบาท ตลอดทั้งปีคาดว่า จะมีกำไร 35 ล้านบาท 

สำหรับแผนการครึ่งปีหลัง บริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ “ขายฝาก” ในช่วงกลางเดือนส.ค.ถึง ก.ย.โดยเริ่มนำร่อง 8 จังหวัดประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครราชสีมาสุราษฎร์ธานี และระยอง และไตรมาสที่ 4 จะเริ่มดำเนินการให้บริการทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังจะจับมือกับพันธมิตรเพื่อช่วยขยายตลาด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอีก 2 ราย คือ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด(มหาชน) คาดว่า จะเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ และ  บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะดำเนินการในระยะเวลาใกล้เคียงกันต่อไป 

สำหรับ ผลิตภัณฑ์ "ขายฝาก" คือ สัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้รับซื้อฝาก โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายฝากสามารถไถ่ทรัพย์ได้ โดยมีระยะเวลาในการไถ่ถอนทรัพย์ภายใน 12 เดือนแต่หากมีความจำเป็นเมื่อใกล้ครบกำหนดไม่สามารถไถ่ถอนได้ ก็ขอขยายระยะเวลาไถ่ถอนได้ด้วย โดยการชำระดอกเบี้ย ซึ่งจะต่ำกว่ากรณีจำนองที่ดินเล็กน้อย โดยอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 7-8.5% ต่อปี 

ทั้งนี้ บริษัท มีที่ มีเงิน เปิดรับจำนองที่ดิน และขายฝาก รีไฟแนนซ์ ให้กู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดา วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ถึง 10 ล้านบาท และนิติบุคคล วงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาท จนถึง 50 ล้านบาท ให้วงเงินกู้สูงสุด 70% ของราคาประเมินที่ดินราชการ คิดอัตราดอกเบี้ย ปีแรกเริ่มต้นที่ 7.25% ต่อปี ปีที่ 2 เป็นต้นไป MLR+ สูงสุดไม่เกิน 3.35% ต่อปี (ปัจจุบัน MLR = 6.90% ต่อปี) ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปีแบบลดต้นลดดอกพร้อมปลอดชำระเงินต้นนาน 1 ปี ที่สำคัญคือ ไม่เช็กเครดิตบูโรสำหรับวงเงินบุคคลธรรมดาไม่เกิน 5 ล้านบาท นิติบุคคลวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และไม่ต้องใช้บุคคลค้ำประกัน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์