Arising Asia เมื่อเอเชียไม่ได้มีแค่ประเทศจีน

ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมาตลาดหุ้นประเทศสำคัญๆ ยังคงเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันทำให้นับตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 20% และฟื้นจากจุดต่ำสุดช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้วกว่า 30% (ที่มา Bloomberg ณ วันที่ 31 ก.ค. 2023)

ทั้งนี้การปรับตัวขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมานั้น เริ่มกระจายออกไปในหุ้นภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังคงถูกขับเคลื่อนจากกระแส Artificial Intelligent (A.I.) ซึ่งเป็นสัญญานเชิงบวกว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ในช่วงข้างหน้า อย่างไรก็ตามการที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจจะมีโอกาสพักฐานได้เช่นกัน ซึ่งทาง CIO ของจูเลียส์แบร์เองประเมินว่ามีโอกาสที่จะปรับฐานในระดับที่ไม่ลึกมากนัก ซึ่งจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยประเมินว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ต่อจนถึงช่วงฤดูร้อนปีหน้า (ที่มา Julius Baer CIO Monthly 14 ก.ค. 2023)

ประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นนั้นมาจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากการประชุมเฟดครั้งล่าสุดนั้นคณะกรรมการเฟดก็ไม่ได้มีการคาดการณ์ว่าเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของจูเลียส์แบร์ก็มีมุมมองที่สอดคล้องและได้ปรับลดโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ลงมาอยู่ที่ระดับ 30% จากระดับ 50% (ที่มา Julius Baer Research Weekly 31 ก.ค. 2023)


ในประเด็นด้านการดำเนินนโยบายการเงินแม้ว่าทางคณะกรรมการเฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุดแต่การส่งสัญญานนั้นยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากคณะกรรมการเฟดจะพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงข้างหน้าซึ่งจะมีข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นอัตราเงินเฟ้อและภาวะตลาดแรงงานถึง 2 เดือนก่อนจะถึงการประชุมครั้งถัดไป ทั้งนี้ทางจูเลียส์แบร์ประเมินว่าเฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ไปจนถึงต้นปีหน้าและเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยภายหลังจากนั้น

ไม่เพียงตลาดหุ้นสหรัฐฯเท่านั้นที่ปรับตัวขึ้น ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชียก็เริ่มปรับตัวขึ้นได้มากกว่าหุ้นสหรัฐฯในเดือนที่ผ่านมา โดยหลักๆ มาจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนเนื่องจากการประชุม Politburo หรือการประชุมของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้มีการส่งสัญญานถึงการรับรู้ถึงปัญหาเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการเปิดประเทศนับตั้งแต่ต้นปีซึ่งปัญหาหลักๆ ยังคงอยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังขาดความเชื่อมั่น

ภาคเอกชนชะลอการลงทุนทำให้การกู้ยืมก็น้อยลงเช่นเดียวกับการใช้จ่ายของครัวเรือนก็ลดลงไปด้วย แม้ที่ผ่านมาธนาคารกลางจีนจะเริ่มมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จากปัญหาข้างต้นทำให้การกระตุ้นนั้นไม่สามารถส่งผ่านไปที่ภาคเศรษฐกิจจริงทำให้เศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือ Deflation ซึ่งถ้าปล่อยให้ภาวะแบบนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น คงจะไม่ใช่เรื่องดีนักทำให้นักลงทุนมีการคาดหวังอย่างมากที่ทางการจีนจะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่

โดยเฉพาะการใช้นโยบายการคลังที่มากขึ้นซึ่ง ณ ปัจจุบันทางการจีนได้มีการออกนโยบายกระตุ้นการบริโภคจำนวนมากรวมถึงมาตรการสนับสนุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่อนคลายมากขึ้นซึ่งต้องติดตามว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนในช่วงข้างหน้าซึ่งยังมีความท้าทายอยู่มาก ทำให้เรายังมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นจีนจะเคลื่อนไหวแบบ sideway หรือเคลื่อนไหวในกรอบ โดยเน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ดีและมีการสนับสนุนจากภาครัฐฯเช่นอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวของกับภาคท่องเที่ยวและที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ เป็นต้น

นอกจากนี้เราแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนออกไปในประเทศเอเชียอื่นๆ ที่สำคัญเช่นประเทศอินเดียและญี่ปุ่น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ยังมีสัดส่วนการลงทุนไม่มาก ซึ่งในกรณีของประเทศอินเดียปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับ 5 ของโลก ตลาดหุ้นอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ ถ้าเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนี Sensex ระยะเวลา 3,5 และ 10ปี ตลาดหุ้นอินเดียนั้นให้ผลตอบแทนในสกุลเงินรูปีสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เสียอีก

ซึ่งสาเหตุสำคัญนั้นมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่แตกต่างจากหลายๆ ประเทศ เช่น จำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ซึ่งค่าเฉลี่ยอายุประชากรเพียงแค่ 28 ปี การเข้าไปลงทุนจากต่างชาติในอินเดียก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดการจ้างงานต่อเนื่อง ส่งผลอินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะหนุนให้เศรษฐกิจนั้นสามารถเติบโตในระดับสูง โดย IMF ประเมินว่า GDP จะมีการขยายตัว 6.1% และ 6.3% ในปี 2023 และ 2024 ตามลำดับ (ที่มา IMF world-economic-outlook-update-july-2023) ขณะที่การเมืองในประเทศค่อนข้างมีเสถียรภาพโดยนายกรัฐมนตรีโมดินั้นยังมีคะแนนนิยมในระดับที่สูง ทำให้การลงทุนระยะยาวในอินเดียเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนและสร้างพอร์ตลงทุนระยะยาว

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจจะลงทุนควรติดต่อเพื่อสอบถามและรับข้อมูลเพิ่มเติมและเฟ้นหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน