กลุ่ม Big Tech ทยอยประกาศงบ ดีกว่าที่คาด

กลุ่ม Big Tech ทยอยประกาศงบ ดีกว่าที่คาด

3 บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ ต่างทยอยประกาศงบไตรมาสล่าสุด แม้ที่ผ่านมาจะเผชิญความท้าทายหลายปัจจัย แต่ผลดำเนินงานดีกว่าที่คาดกันไว้ ถือเป็นตัวช่วยหนุน Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐ ให้ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะนี้เข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ของเหล่าบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหุ้นสหรัฐ โดยในสัปดาห์นี้จะมีบริษัทราว 170 บริษัท ในดัชนี S&P500 ซึ่งคิดเป็น 40% ของ Market Cap รายงานผลการดำเนินงานออกมา รวมถึงมี 3 ใน 7 ของบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม Magnificent Seven ประกาศผลการดำเนินงานออกมาในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยหุ้นที่ถูกขนานนามว่าเป็นกลุ่ม Magnificent Seven คือหุ้น 7 ตัว ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนรวมกันมากกว่า 50% ของดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งในปีนี้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นสหรัฐ บทความนี้จะไปพาเจาะลึกผลการดำเนินงานของ 3 บริษัทสำคัญ นั่นคือ Alphabet, Microsoft และ Meta Platform

Alphabet รายงานผลการดำเนินงานดีกว่าคาด แม้จะเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัย

Alphabet บริษัทแม่ของ Google รายได้อยู่ที่ 74.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าคาดที่ 72.82 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้น 7% จากช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่รายได้ของ Alphabet เติบโตได้เป็นตัวเลขหลักเดียว โดยนักวิเคราะห์คาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ รายได้ของบริษัทฯ จะกลับมาเติบโตได้เป็นตัวเลขสองหลักอีกครั้ง 

ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจ Advertising ซึ่งประกอบด้วย Google Search, YouTube ads และ Google Network คิดเป็นราว 80% รายได้ทั้งหมด ยังคงเพิ่มขึ้น 3.3% แม้จะเผชิญกับความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจและการที่องค์กรต่างๆ เริ่มลดค่าใช้จ่ายลง โดยรายได้จาก Google Search ซึ่งเป็นรายได้หลักยังคงเติบโต ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากคู่แข่งสำคัญอย่าง Bing ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้านรายได้จาก YouTube อยู่ที่ 7.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แม้จะเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดจากการมาของคู่แข่งอย่าง TikTok ขณะที่รายได้ธุรกิจ Google Cloud อยู่ที่ 8.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว +28% สูงกว่าคาดการณ์ และสามารถพลิกกลับมาสร้างกำไรให้บริษัทฯ ได้ 395 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากมีผลขาดทุน 590 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทางบริษัทฯ ระบุว่า Bard ซึ่งเป็น Chatbot และระบบ Search Generative Experience (SGE) กำลังเป็นที่จับตาของนักลงทุนในขณะนี้ 

ในภาพรวมแล้วผลการดำเนินงานของ Alphabet สะท้อนว่า ระบบ Search Engine ของบริษัทฯ ยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ใช้งาน แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงสามารถได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายด้าน Cloud ของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ

Microsoft ประกาศงบขยายตัว นักลงทุนต่างจับตาธุรกิจ Cloud ที่ยังคงเติบโตสูงกว่าคาด 

ด้าน Microsoft รายงานรายได้อยู่ที่ 56.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าคาดที่ 55.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ขยายตัวต่ำกว่า 10% ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2017 ด้านกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 2.69 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าคาด โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นราว 20%

ทั้งนี้ ธุรกิจ Intelligent Cloud ซึ่งประกอบด้วย Azure public cloud, SQL Server, Windows Server, GitHub และอื่นๆ รายงานรายได้ที่ 23.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 15% และสูงกว่าที่คาดการณ์ โดย Azure public cloud เติบโต +26% ชะลอลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโตชะลอลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทฯ จะลดค่าใช้จ่ายเพื่อรับมือกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมา Microsoft ร่วมกับ OpenAI ได้เปิดตัวโมเดลภาษาและโปรแกรมเสริมสำหรับการเข้าใช้งาน ChatGPT, Bing Chatbot และเครื่องมืออื่นๆ ซึ่งขณะนี้มีลูกค้ามากกว่า 11,000 ราย เพิ่มขึ้นจาก 4,500 ราย ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งทาง Microsoft เองประเมินว่าความต้องการทาง AI จะส่งผลให้รายได้บริษัทฯ ปรับขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 2024 

ด้านธุรกิจ Productivity & Business ซึ่งประกอบด้วย Office Software, LinkedIn รายได้อยู่ที่ 18.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10% สูงกว่าคาด ขณะที่ธุรกิจ Personal Computing รายงานรายได้ 13.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง -4% ฉุดจากยอดขายลิขสิทธิ์ Windows ที่ลดลง -12% แต่สูงกว่าที่บริษัทฯ คาด รวมถึงยอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ลดลง สอดคล้องกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่ลดลง -17% ในไตรมาสที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ให้ Guidance ไตรมาสถัดไปรายได้ที่ 53.8-54.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตราว 8% แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดอยู่ที่ 54.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฉุดจากกลุ่มธุรกิจ Operating System ที่ทางบริษัทฯ ประเมินรายได้ที่ 12.5-12.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 13.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

Meta Platform ประกาศงบฟื้นตัว หนุนจากรายได้โฆษณา และธุรกิจ VR ที่ขาดทุนลดลง 

สำหรับ Meta Platform รายงานรายได้อยู่ที่ 32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว +11% ดีกว่าคาดการณ์ และเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021 ที่บริษัทฯ รายงานการเติบโต double-digit หลังที่ผ่านมารายได้ลดลงจากปัจจัยกดดันอย่างภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองและนโยบายส่วนบุคคลของระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple ที่จำกัดการโฆษณาซึ่งเป็นรายได้ของ Meta ด้านกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 2.98 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าคาดเช่นกัน

โดยรายได้จากธุรกิจ Advertising ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักเติบโต +11.8% สอดคล้องกับตัวเลขผู้ใช้งานต่อวัน (DAUs) ตัวเลขผู้ใช้งานต่อเดือน (MAUs) และรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ที่สูงกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ดี รายได้จากธุรกิจ Reality Labs ลดลง -18% แม้ยังคงขาดทุนลดลงจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ -3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 Meta ประกาศเปิดตัว Quest 3 ด้วยสนนราคา 499 ดอลลาร์สหรัฐ และมีดีไซน์ที่บางกว่ารุ่นก่อนหน้า พร้อมทั้งใช้ next-generation Qualcomm chipset อีกด้วย นอกจากนี้ยังประกาศให้บริการ VR subscription สำหรับ Meta Quest+ ในราคา 7.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าเล่นเกม VR ใหม่ได้ 2 เกมต่อเดือน

สำหรับไตรมาส 3 บริษัทฯ ประเมินรายได้อยู่ระหว่าง 32-34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตอย่างน้อย +15% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 31.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังประเมินว่ากำไรมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นจากตลาดโฆษณาที่ค่อยๆ ฟื้นตัวและการลดค่าใช้จ่ายจากการลดจำนวนพนักงานจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา สอดคล้องกับที่บริษัทฯ ประเมินว่ารายจ่ายการลงทุน (CAPEX) ของทั้งปีจะลดลง

ในภาพรวมนักลงทุนต่างจับตาการประกาศผลการดำเนินงานของกลุ่ม Mega-Cap Tech อย่างใกล้ชิด หลังราคาหุ้นพุ่งขึ้นมาอย่างมีนัยตั้งแต่ช่วงต้นปี หนุน ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับขึ้นนำหลายดัชนีหลักทั่วโลก โดย 3 บริษัทเทคฯ ใหญ่ อย่าง Alphabet, Microsoft และ Meta Platform รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดดีกว่าคาด และยังสะท้อนศักยภาพในการเติบโตได้อีกในอนาคต ซึ่งมีโอกาสที่หุ้นกลุ่ม Mega-Cap Tech จะยังคงเป็นตัวช่วยหนุน Momentum ของตลาดหุ้นสหรัฐ ให้ปรับตัวขึ้นได้อีกในครึ่งปีหลัง

ที่มา : Company Report, Bloomberg และ CNBC

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และเว็บไซต์ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds