Nasdaq 100 เตรียม Special Rebalance ลดอิทธิพลของหุ้นเทคฯ ใหญ่

Nasdaq 100 เตรียม Special Rebalance ลดอิทธิพลของหุ้นเทคฯ ใหญ่

ตั้งแต่ต้นปีนี้ ดัชนี "Nasdaq 100" มีการปรับขึ้นราว +40% โดยหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ (Mega cap Tech) ซึ่งเกิดขึ้นจากกระแส AI ที่มาแรงและกลายเป็นหนึ่งในธีมการลงทุนของปี 2566

จากกระแสที่น่าจับตานี้ ส่งผลให้ NASDAQ มีการประกาศปรับสมดุลแบบพิเศษ หรือ Special Rebalance หลังมีหุ้นหลายบริษัทมีสัดส่วนในดัชนีสูงเกินไป (Overconcentration) และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการกระจายความเสี่ยงของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) โดยการปรับครั้งนี้จะไม่มีผลต่อการนำหุ้นเข้าหรือออกจากการคำนวณดัชนี และจะเริ่มมีผลจริงในวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 ซึ่งการปรับสมดุลพิเศษนี้เป็นครั้งที่ 3 หลังจากเดือนธันวาคม 1998 และพฤษภาคม 2011

ทำไมถึงต้อง Special Rebalance

ดัชนี Nasdaq 100 คือดัชนีที่สะท้อนผลตอบแทนของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) สูงที่สุด 100 อันดับแรกของ Nasdaq Stock Market โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยี และไม่รวมกลุ่มธุรกิจการเงิน อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบัน บริษัทใหญ่ 7 แห่ง ได้แก่ Alphabet, Amazon, Apple, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla มีสัดส่วนมูลค่ารวมกันมากกว่า 50% ของดัชนี Nasdaq 100 และความเคลื่อนไหวของหุ้นทั้ง 7 บริษัท ก็มีส่วนอย่างมากในการเป็นตัวกำหนดว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด โดยในปีนี้ดัชนี Nasdaq 100 ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในกรอบระยะเวลา 6 เดือนแรกของปี สูงกว่าช่วง Internet Bubble เมื่อช่วงปี 1990 ก่อให้เกิดความกังวลต่อการกระจุกตัวของกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งการประกาศ Special Rebalance จะลดอิทธิพลและความผันผวนของกลุ่ม Megacap Tech ต่อดัชนีและตลาดหุ้นสหรัฐในภาพรวม

ราคาหุ้นกลุ่ม Megacap Tech ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี

Nasdaq 100 เตรียม Special Rebalance ลดอิทธิพลของหุ้นเทคฯ ใหญ่ ที่มา : Bloomberg

ผลกระทบต่อตลาดหุ้น

ทั้งนี้ การปรับน้ำหนักในดัชนี Nasdaq 100 จะส่งผลโดยตรงต่อกองทุนที่อ้างอิงตามดัชนีดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการปรับน้ำหนักหุ้นในพอร์ตให้สอดคล้องกัน อย่างเช่น Invesco QQQ ETF (QQQ) ซึ่งมีมูลค่าราว $200 billion โดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่คาดว่าจะถูกเทขายในระยะสั้น เพื่อลดน้ำหนักการลงทุนให้ใกล้เคียงกับการคำนวณดัชนี ซึ่งตามเกณฑ์แล้ว หุ้นใน 5 อันดับแรกจะต้องมีน้ำหนักรวมกันไม่เกิน 38.5% (ล่าสุดอยู่ที่ 42.9%) โดย 1 วันหลังมีการประกาศปรับน้ำหนัก ราคาหุ้น Megacap Tech ปรับลงในช่วง 0.7-2.5% และหากอ้างอิงกับเมื่อครั้งปี 2011 ราคาหุ้นที่ถูกปรับน้ำหนักลงจะร่วงราว 2-3% 

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จาก Wells Fargo คาดว่าหุ้นที่มีขนาดรองลงมาและจะได้รับประโยชน์จากการปรับดังกล่าว เนื่องจากอย่างผู้จัดการกองทุนต้องเพิ่มสัดส่วนการลงทุน ได้แก่ หุ้น Starbucks (SBUX), Mondelez (MDLZ), Booking Holdings (BKNG), Gilead Sciences (GILD), Intuitive Surgical (ISRG), Analog Devices (ADI) และ Automatic Data Processing (ADP) นอกจากนี้หุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กยังได้รับ sentiment เชิงบวกจากการปรับน้ำหนักของดัชนี มีส่วนสะท้อนในกองทุน ARK Innovation ETF (ARKK) ของ Cathie Wood ที่ปรับขึ้น +3.7% หลังการประกาศ ซึ่งกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กที่ยังไม่มีกำไร และการปรับน้ำหนักจะทำให้มีแรงเข้าซื้อหุ้นขนาดเล็กในดัชนี Nasdaq 100 และมีสัดส่วนการลงทุนเป็น Top Holding ใน ARKK อย่างเช่น Zoom Communications (ZM) เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว การปรับสมดุลการลงทุนใหม่ของดัชนี Nasdaq 100 น่าจะส่งผลกระทบจำกัดและเพียงระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานและไม่ได้ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยกลุ่มหุ้น Megacap Tech จะยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของโลกและมีศักยภาพในการเติบโตอีกมากในอนาคต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดัชนีในครั้งนี้จึงถือเป็นจังหวะเข้าทยอยสะสมหุ้นเหล่านี้ที่คาดว่าอาจจะย่อลงในระยะสั้นจากการปรับสมดุลใหม่ของดัชนี

ที่มา : Bloomberg, Financial Times, CNBC, Reuters, Barron’s

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมา และพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสม และรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยง และเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0-2633-6000 กด 4, 0-2080-6000 กด 4 และ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds