‘นักเศรษฐศาสตร์’ ชี้รัฐบาลใหม่ เสี่ยงเผชิญ ‘ภาระการคลัง’เพิ่ม

‘นักเศรษฐศาสตร์’ ชี้รัฐบาลใหม่  เสี่ยงเผชิญ ‘ภาระการคลัง’เพิ่ม

“นักเศรษฐศาสตร์” ชี้ นโยบายรัฐบาลใหม่ เสี่ยงหนุนภาระการคลังเพิ่ม “ศุภวุฒิ” ชี้ หากจำเป็น รัฐกู้เพิ่มได้ แม้ภาระการคลังเพิ่ม ย้ำจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโตทั้งระยะสั้นระยะกลาง “อมรเทพ” เชื่อหากจัดระเบียบใช้งบมีประสิทธิภาพ-หารายได้ ไม่กระทบความเชื่อมั่น

      แม้การจัดตั้ง “รัฐบาลใหม่” ภายใต้แกนนำจาก “พรรคก้าวไกล”ยังไม่เสร็จสิ้น แต่เชื่อว่านักลงทุน ประชาชน เริ่มให้ความสนใจกับ “นโยบายภาครัฐ”หลังจากนี้มากขึ้นว่าการเดินหน้าโครงการต่างๆของภาครัฐ จะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหนภายใต้รัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะมาตรการที่ใช้หาเสียงในช่วงที่ผ่านมา

        หากดูนโยบายพรรคก้าวไกลที่ใช้ตอนหาเสียง พบว่า มีแผนใช้งบประมาณรวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบเพื่อสวัสดิการก้าวหน้าต่อปี 6.5 แสนล้านบาท และงบประมาณสำหรับจังหวัดจัดการตัวเอง 2 แสนล้านบาทต่อปี
 

      ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษา กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร(KKP) กล่าวว่า การวางนโยบายเศรษฐกิจในอนาคตสิ่งที่จำเป็น นอกจากการวางโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืนระยะยาวแล้ว สิ่งที่ต้องทำคู่กัน คือ วางนโยบายด้านเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่มองว่า ‘จำเป็น’ เพื่อขับเคลื่อนให้เติบโตได้ทั้งระยะสั้นและแข็งแกร่งในระยะยาว

      ภายใต้นโยบายพรรคก้าวไกล มีแผนใช้เงินช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะรัฐสวัสดิการปีละ 6 แสนล้านบาท นำงบประมาณมาจากการขึ้นภาษี และลดงบบางส่วน เชื่อว่าสามารถทำได้ แต่สิ่งเหล่านี้อาจต้องใช้เวลา เนื่องจาก ที่ผ่านมา ประเทศไทยพูดถึงการเก็บภาษีมาต่อเนื่อง แต่ถูกแรงต้าน ดังนั้นการขึ้นภาษีจะไม่ง่าย และอาจทำได้ไม่เร็วนัก
       

      อีกทั้งการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ทั้งเก็บกับบริษัทขนาดใหญ่ เก็บจากกำไรจากการลงทุน สิ่งที่ตามมา เมื่อกำไรบริษัท นักลงทุนลดลง อาจบั่นทอนความต้องการลงทุนให้ลดลงได้ อาจกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจระยะข้างหน้า

     ทั้งนี้ หากดูความจำเป็นภาครัฐในระยะข้างหน้า จำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐก็ต้องยอมขาดดุลงบประมาณมากขึ้น เป็นสิ่งที่ทำได้ และส่วนตัว ไม่กลัวว่าภาระการคลังจะเพิ่มขึ้น เพราะการขาดดุลฯ และหนี้สาธารณะวันนี้ของไทยไม่ได้อยู่ในจุดอันตราย แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ต้องพยายามมีวินัยการใช้งบภาครัฐมากขึ้น

ต้องยอมขาดดุลหนุนศก.โต

     “หากต้องใช้งบภาครัฐ ต้องขาดดุลการคลังเพิ่ม ก็ต้องทำ เพราะการเก็บภาษี การลดงบบางส่วน ไม่ได้ทำได้ง่าย และไม่ได้ทำได้เร็ว เพราะหากไม่ทำอะไรเลย และกลัวภาระการคลังเพิ่ม กลัวการขาดดุลการคลัง จีดีพีก็ยิ่งไม่โต โตช้ากว่าการขาดดุลงบประมาณต่อปีที่อยู่ราว 3-4% และหากจีดีพีลด หนี้ต่อจีดีพียิ่งจะเพิ่มขึ้น แนวทาง คือ ต้องยอมใช้เงิน เพื่อทำให้จีดีพีโต พอจีดีพีโต จะทำให้หนี้ต่อจีดีพีไม่โต และเมื่อจีดีพีโตรัฐจะเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น เหมือนกับหลักการที่พรรคเพื่อไทยวางนโยบายไว้ตั้งแต่แรก”

       นอกจากนี้ มองว่า การทำให้ จีดีพีเศรษฐกิจไทยโตได้ สิ่งจำเป็นคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ที่ทำให้เกิดการ กระตุ้นเศรษฐกิจคู่ไปกับการวางนโยบาย

     พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ภายใต้การประกาศการใช้งบประมาณพรรคก้าวไกลตอนหาเสียง มีก้อนใหญ่ๆ คือ รัฐสวัสดิการ 6 แสนล้านบาท งบฯที่จะนำมาใช้จ่าย มาจาก 2 ส่วนคือ 1.ลดค่าใช้จ่าย ลดขนาดกองทุน ย้ายงบกลาง และ 2.การเก็บภาษีเพิ่ม

       ถือว่ามีความเสี่ยง ที่จะหาเงินไม่ทัน หากไม่กู้เงิน หรือใช้งบภาครัฐ เพราะการตัดงบ ลดขนาดกองทัพ รวมถึงมาตรการการจัดเก็บภาษีเพิ่ม ไม่ง่าย สิ่งที่อาจเกิดขึ้น คือ ขาดดุลการคลังเพิ่มในระยะข้างหน้า

       ซึ่งเป็นปัจจัยท้าทาย เพราะการขาดดุลการคลังทำได้ไม่มาก จากปัจจุบัน ที่หนี้สาธารณะไทยสูง ปัจจุบันไทยขาดดุลทางการคลังต่อปีอยู่ที่ 2-3% ของจีดีพี หากยังขาดดุลทางการคลังต่อเนื่อง ภายใน 10 ปีโอกาสที่หนี้สาธารณะไทยอาจแตะระดับที่กรอบบนที่ 70% ต่อจีดีพีได้

รัฐบาลใหม่เผชิญภาระทางการคลังเพิ่ม

       ดังนั้นเหล่านี้ ถือเป็นโจทย์ท้าทายของรัฐบาลชุดใหม่ ในการวางแผนใช้เงินในระยะข้างหน้า และยิ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น จากโครงสร้างประชากรของไทยที่แย่ลงเรื่อยๆ มีคนแก่มากขึ้น คนทำงานน้อยลง ทำให้ภาระต่องบประมาณในระยะข้างหน้ามีสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับรายได้ที่ไม่ขึ้น

      “แผนการนำงบประมาณมาใช้ ทั้ง 2 ส่วน ทั้งลดงบจากกองทัพ รวมถึงการเก็บภาษี ถือว่ามีแรงกดดันทั้งคู่ การลดงบกองทัพ แม้ทำได้ทันที แต่กระบวนการบางอย่าง เช่นการยกเลิกเกณฑ์ทหารต่างๆ ต้องติดตามดูว่าทำได้หรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ คือการเขย่าโครงสร้างเดิมทั้งหมด เช่นเดียวกันการเก็บภาษีคนรวย เหล่านี้คือโจทย์ท้าทายมากสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่”

       อย่างไรก็ตาม หากดูนโยบายภาครัฐ ภายใต้พรรคก้าวไกล ที่ประกาศออกมาก่อนหน้า เชื่อว่า อาจไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยอาจหดตัวลงเล็กน้อยได้ เพราะมาตรการภาครัฐเหล่านี้ ไม่ได้เป็นการเพิ่ม “สภาพคล่อง”สู่ระบบเศรษฐกิจ แต่เป็นการโยกเงินบางส่วนมาใช้

    เช่นเดียวกับการจัดเก็บภาษีคนรวย ไปช่วยคนจน เหล่านี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่

    ดังนั้นประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในช่วง 4 ปีข้างหน้า หลังจากนี้ มีโอกาสเติบโตช้าลง มีโอกาสที่จีดีพีจะต่ำกว่าระดับ 3% หากเทียบกับก่อนโควิด-19 ที่จีดีพีไทย เติบโตเฉลี่ย 3.2% ต่อปี จากประชาก วัยทำงานที่ลดลง การเข้าสู่สังคมสูงวัยมากขึ้น

     นับเป็นโจทย์ความท้าทายสำคัญรัฐบาลใหม่ค่อนข้างมาก ที่ต้องคิดว่าจะมี New Engine of Growth หรือแรงขับเคลื่อนสำหรับเศรษฐกิจไทยใหม่ๆ ในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน

บริหารงบดีเชื่อไม่กระทบเชื่อมั่น

     นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า นโยบายรัฐบาลใหม่ แบ่งได้หลายหมวด 1. เงินด้านสวัสดิการ​ผู้สูงอายุ​/เด็ก​ และเยาวชน​ เงินกลุ่มนี้เป็นรายจ่ายของภาครัฐ​ในงบประมาณ​ประจำปี​ และโดยปกติ​งบเหล่านี้จะถูกจัดทำต่อเนื่องในอนาคต​ ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาล​ไป​

       ส่วนด้านภาระทางการคลังนั้น​ แม้ว่าจะมีงบรายจ่ายส่วนนี้มากขึ้น​ แต่หากมีการบริหารตัดงบส่วนอื่นออก​ หรือหารายได้เพิ่มมาได้ ​ก็ไม่น่ากระทบความน่าเชื่อถือของประเทศ หรือขัดวินัย​การคลัง​

     มองส่วนนี้ไม่ใช่มาตรการ​กระตุ้น​เศรษฐกิจ​ แต่เป็นการจัดสรรด้านสวัสดิการ​ที่จำเป็น ​แต่นอกจากนี้​น่าจะหามาตรการ​อื่นที่ไม่ใช่หว่านแห ​แต่เข้าถึงคนที่ต้องการสวัสดิการ​อย่างแท้จริง​ เช่นเด็กด้อยโอกาส​ด้านการศึกษา​ หรือคนแก่ยากไร้

      2. ด้านค่าแรงขั้นต่ำ​ ไม่ใช่งบประมาณ​ภาครั ฐ​แต่เป็นความเห็นร่วมของลูกจ้าง นายจ้าง ภาครัฐ​ ซึ่งโดยปกติ​จะมีนายจ้าง หรือภาคธุรกิจ​ที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว​ โดยเฉพาะกลุ่ม​ SME​ ที่เน้นแรงงานถูก​ และแรงงานต่างด้าว โดยมากในกลุ่ม​ค้าปลีก​ ค้าส่ง​ โรงแรม​ ร้านอาหาร​ และอุตสาหกรรม​เกษตร​

      โดยรอบนี้รัฐน่าสนับสนุน​การปรับตัวในด้านต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น​ ด้วยการส่งเสริมการใช้เครื่องจักร​ ทำ​ automation เพิ่มทักษะ​แรงงาน ​แต่เชื่อว่าจะกระทบการย้ายฐาน​การผลิต​ของผู้ประกอบการอีกรอบ​ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์​ สิ่งทอและ​เครื่องนุ่งห่ม​

แนะเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

      ขณะที่ทางออก น่าจะเป็นการเน้นการลงทุนจากต่างชาติ​ และขจัดปัญหา​อุปสรรค​ในการลงทุน​ สร้างการดึงดูด​ให้มากขึ้น ​รวมทั้งเร่งทำข้อตกลงการค้าเสรี​ให้มากกว่านี้ มองมาตรการนี้น่าสนับสนุนกำลังซื้อระดับล่าง​

      รวมทั้งเงินเดือนที่ขึ้นจะขึ้นเป็นลูกโซ่​ต่อขึ้นไป​ ไม่เพียงค่าแรงขั้นต่ำ​ ซึ่งกลุ่มนี้น่าใช้จ่ายมากขึ้น​ เป็นโอกาสของธุรกิ​จกลุ่มค้าปลีก​ ท่องเที่ยว​และสื่อสาร​ แต่ห่วงเงินเฟ้อ อาจพุ่งได้ต่อจากอุปสงค์​ที่ร้อนแรงขึ้น​กระทบการตัดสินใจ​ของคณะกรรมการ​นโยบาย​การเงิน(กนง.)​ในปีหน้า หลังจบรอบการขึ้น​อัตราดอกเบี้ย​ในเดือนนี้​ว่าดอกเบี้ยไทยอาจขึ้นต่อได้ 

      3. มาตรการกระตุ้น​เศรษฐกิจ​ ต้องพิจารณา​ต่อว่านโยบายเป็นอย่างไร​ จะเป็นการก่อหนี้เพิ่มขึ้น​ หรือลดการใช้จ่ายส่วนอื่น​ แต่ที่ห่วง คือแม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจ​ไทยฟื้นกว่าก่อนโควิดแล้วก็จริง​ แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยังไม่ฟื้น​ รายได้ยังต่ำกว่าก่อนโควิด​

      ขณะที่รายจ่ายเพิ่มสูงกว่าเดิมมาก สะท้อนให้เห็นปัญหาด้านการกระจายตัวของเศรษฐ​กิจ​ไทย ​เช่นการท่องเที่ยวดีเพียงไม่กี่พื้นที่​ ดังนั้นต้องหามาตรการให้คนที่มีเงินมากพอใช้จ่ายในกลุ่ม หรือพื้นที่ ที่ยังขาดรายได้ ​น่าหาเครื่องมือ หรือข้อมูลด้านพื้นที่มาร่วมในการทำนโยบาย

      ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหาร​ประเทศ ​เศรษฐกิจ​ไทยยังมีปัญหา​เชิงโครงสร้างหลายจุด​ ที่ต้องเร่งแก้ไข ​รวมทั้งการทำงานด้านโครงสร้าง​พื้นฐานที่กระจายจากกรุงเทพ​ไป​ภูมิภาค​อื่นๆ​ 

      ส่วนภาระทางการคลังเป็นเรื่องสำคัญ​ ที่ต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาว ​น่าหาทางออกด้วยการจัดสรรงบประมาณ​ที่มีประสิทธิภาพ​ ใช้ให้คุ้มค่า​ และจำเป็น​ตัดลดจากส่วนอื่นมาดูแลด้านสวัสดิการ​ หรือหารายได้เพิ่มมาได้​ แต่สุดท้าย​คนไทยต้องปรับตัว​ ไม่ว่าด้านค่าแรง​ หรือการลงทุนจากต่างชาติ ​น่าเตรียมความพร้อม​ใน​การ​รับมือให้ไทยมาเป็นศูนย์กลาง​การลงทุนในอาเซียนที่แข็งแกร่ง​ขึ้น​

ต้องจัดเก็บรายได้-ลดรายจ่าย

       ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน Economic intelligence Center (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า นโยบายหาเสียงพรรคก้าวไกล ทั้งรัฐสวัสดิการ การดูแลระดับจังหวัด ที่ใช้งบกว่า 1 ล้านล้านบาท SCB EIC ประเมินว่ามีความเสี่ยงต่อภาระการคลังต่ำ เนื่องจากมีแผนการใช้งบประมาณชัดเจน

       ดังนั้นการใช้งบภาครัฐระยะข้างหน้า ขึ้นกับการจัดเก็บรายได้ว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ทั้งจัดเก็บรายได้รูปแบบใหม่ผ่านการปรับขึ้นภาษี รวมถึงลดงบภาระรายจ่ายที่ไม่จำเป็น

       หากทั้งสองแผนทำไม่ได้มากนัก มีความเสี่ยงที่ภาระการคลังระยะปานกลางเสี่ยงเพิ่มขึ้น เป็นแรงกดดันทำให้หนี้สาธารณะเพิ่ม บวกกับเศรษฐกิจไทยยังเผชิญหนี้สาธารณะจากสังคมสูงวัยของไทยทำให้มีภาระต้องดูแลสังคมมากขึ้น