‘CGS CIMB’แนะซื้อหุ้นกู้อนุพันธ์ กระจายเสี่ยงผลตอบแทนสูง'4-11%'

‘CGS CIMB’แนะซื้อหุ้นกู้อนุพันธ์  กระจายเสี่ยงผลตอบแทนสูง'4-11%'

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี เผยหลังเลือกตั้ง หุ้นโรงไฟฟ้า โรงแรม สื่อสารลงตามคาด ด้าน"ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย" แนะกระจายลงทุนหุ้นกู้ดอกเบี้ย 4-11%

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุนสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยเผชิญแรงขายแรงหลังจากกลุ่มหุ้นที่ได้รับแรงกดดันจากผลการเลือกตั้งใหญ่ 2566 อาทิกลุ่มโรงไฟฟ้าที่จะเจอแรงกดดันจากมาตรการลดค่าไฟฟ้า 70สตางค์ต่อหน่วย รวมถึงการประมูลโครงการต่างๆในอนาคต เช่น BGRIM , GPSC ,  GULF และ GUNKUL

กลุ่มโรงแรม โดยร้านอาหารอาจจะเจอแรงกดดันจากค่าแรง 450 บาท ซึ่งต้นทุนแรงงานคิดเป็นสัดส่วนราว 10-25% หุ้นที่เกี่ยวข้องเช่น CENTEL ,  M และ ZEN

กลุ่มสื่อสาร ปรับตัวลดลงจากประเด็นการควบรวมกิจการในอนาคตจากนโยบายหลักของพรรคก้าวไกลนั่นคือ Demonopolize Decentralize Demilitarize หุ้นที่เกี่ยวข้อง ADVANC , INTUCH และ TRUE 

กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย โดยราคาหุ้นเจอแรงขายหลังพรรคเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ตามที่ตลาดคาด ทำให้ราคาหุ้นอาจโดน De-rate จากตลาดในอนาคตอันสั้น เช่น SC , SIRI

นายกรรณ์ มองกรอบดัชนี 3 เดือนที่บริเวณ 1,520-1,585 จุด  ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเลี่ยงลงทุน 4 กลุ่มข้างต้นและทยอยสะสมหุ้นที่ได้รับประโยชน์แน่นอนจากการเลือกตั้ง (เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และ เน้นเศรษฐกิจฐานราก) นำโดย 

CPALL : กลุ่มค้าปลีกคือหุ้นที่จะได้ประโยชน์แน่นอนจากนโยบาย “การเพิ่มรายได้” ของบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ / แนวโน้มกำไรในปี 2566 สดใส

PTG : กลุ่มผู้ค้าปลีกน้ำมันจะได้ประโยชน์จากมาตรการ “ลดค่าใช้จ่าย” โดย ราคาน้ำมันขายปลีกคือหนึ่งในค่าใช้จ่ายของประชาชนที่มีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกับค่าไฟฟ้า

TIDLOR : นอกเหนือจากมาตรการเพิ่มรายได้, ลดรายจ่าย สิ่งที่มองข้ามไม่ได้และต้องรู้ทัน คือ “เศรษฐกิจฐานราก” ที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่เพิ่มและค่าแรงที่ปรับขึ้นทันทีรวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐที่เป็นต้นทุนการกู้ยืมหลักใกล้แตะจุดสูงสุด

ด้าน นางสาววรภร ธรศุภภากร ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจผลิตภัณฑ์การเงินซับซ้อน และ Head, Private Wealth Strategy ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ภาวะตลาดปัจจุบัน และการคาดการณ์การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในรอบสิ้นเดือนพ.ค.นี้ เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น ทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุน กระจายเงินฝากกับหลายๆสถาบันการเงิน หุ้นกู้บริษัทเอกชน กระจายในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เน้นลงทุนในหุ้นกู้ระดับความเสี่ยง Investment Grade ระยะสั้น ถึง 5 ปี หรือ หุ้นกู้ตลาดรองที่ราคาเสนอขายระหว่าง 2.5%-3.5% ต่อปี 

นอกจากนี้ควรปรับพอร์ตการลงทุนด้วยการขายคืน เปลี่ยนมือ หุ้นกู้จากระยะยาวเป็นระยะสั้น และการลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ Equity Linked Note ที่อ้างอิงราคาหลักทรัพย์ หรือหุ้นใน SET50 อ้างอิงหุ้น ระยะสั้น 3-6 เดือน Knock-in level 72% – 89% หุ้นอ้างอิงอาทิ CPALL , BCP , DOHOME , OSP และ SAWAD ซึ่งจังหวะการลงทุนในช่วงราคาหุ้นต่ำ จะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุน ที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ อัตราผลตอบแทน 4% -11% ต่อปี