ค่าเงินบาทเปิดตลาด’แข็งค่า’ที่ 34.11 บาทต่อดอลลาร์ ตามเงินดอลลาร์อ่อนค่า

ค่าเงินบาทเปิดตลาด’แข็งค่า’ที่ 34.11 บาทต่อดอลลาร์ ตามเงินดอลลาร์อ่อนค่า

กรุงไทย ชี้เงินบาทยังไซด์เวย์แข็งค่าตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ซื้อทองคำจังหวะราคาย่อตัว จับตาการประชุม BOJ หากใช้นโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น อาจเห็นเงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 0.2บาท อย่างไรก็ตาม มองกรอบเงินบาทวันนี้ 33.90-34.25 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (28 เม.ย.) ที่ระดับ  34.11 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.14 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.25 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน โดยมีทั้งจังหวะอ่อนค่าตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ก่อนที่จะทยอยแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์

ส่วนในวันนี้ เราประเมินว่า ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในกรอบเดิม โดยโซนแนวต้านจะอยู่ในช่วง34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์ (สอดคล้องกับแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อตลาดการเงินได้ อย่าง การประชุม BOJ, รายงาน GDP ฝั่งยุโรป และรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอาจเริ่มชะลอลงบ้าง หลังนักลงทุนต่างชาติต่างชะลอการขายสินทรัพย์ไทย

 เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ เพราะแม้ว่า ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่รวมถึงเรา จะมองว่า ในการประชุมครั้งนี้ BOJ อาจยังไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้น แต่หากBOJ มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจน พร้อมใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัว หรือ ประกาศปรับกรอบของบอนด์ยีลด์ 10 ปี เป็น+/-1.00% หรือ ยกเลิกการทำ Yields Curve Control ในการประชุมครั้งนี้ ก็อาจส่งผลให้ค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วราว +2% หรือแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับ 132 เยนต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ซึ่งในกรณีดังกล่าว เราก็อาจเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 20 สตางค์ หรือมีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าไปทดสอบแนวรับถัดไปที่33.80-33.90 บาทต่อดอลลาร์ได้

 

เช่นเดียวกันกับช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ แม้ว่า เรามองว่า รายงานดังกล่าวอาจไม่ได้เปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดมากนัก ถ้าข้อมูลออกมาตามคาด แต่หากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อในการประชุมเดือนมิถุนายน หรือ เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยได้นานขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นทดสอบโซนแนวต้านแถว 101.8-102 จุด ทำให้เงินบาทก็สามารถผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านได้เช่นกัน

 

ในช่วงนี้ เราคงมองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูงทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

 

 

 

แม้ว่ารายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปีนี้ จะออกมาน่าผิดหวัง โดยเศรษฐกิจขยายตัวเพียง +1.1% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี แย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ +2.0% แต่ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการและคาดการณ์ผลประกอบการที่ดีกว่าคาดของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่อาทิ Meta +13.9%, Amazon +4.6%, Alphabet +3.7% ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้นแรง +2.43% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.96%

 

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.18% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ Barclays +5.3%, Deutsche Bank +2.5% ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลต่อปัญหาระบบธนาคารยุโรป อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปกลับถูกกดดันโดยการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (TotalEnergies -2.6%, BP -1.8%) หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน อีกครั้ง

 

ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคมสู่ระดับ 5.25% ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.52% เข้าใกล้โซนแนวต้านแรกแถว 3.50%-3.60% อีกครั้ง โดยเรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯอาจแกว่งตัวใกล้โซนดังกล่าว จนกว่าจะรับรู้ผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดอาจรอทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนพฤษภาคมอย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังคงไม่สามารถแข็งค่าขึ้นไปได้มากและติดโซนแนวต้านแถว 101.8 จุด สำหรับดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) หลังบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยลดการถือครองเงินดอลลาร์ลงบ้าง ทำให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) กลับมาแกว่งตัวแถวระดับ 101.5 จุด อีกครั้ง ส่วนในฝั่งราคาทองคำ เรายังคงเห็นภาพของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยราคาทองคำ(สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ได้มีจังหวะปรับตัวลงสู่โซนแนวรับแถว 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดและการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ แต่สุดท้ายแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดกอปรกับการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ก็พอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นสู่ใกล้ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น คือ รายงาน อัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า แม้อัตราเงินเฟ้อ PCE อาจชะลอตัวลงต่ำกว่าระดับ 5.00% แต่ทว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็อาจอยู่ในระดับสูงกว่า 4.5% ทำให้เฟดยังมีความจำเป็นที่ต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ +25bps สู่ระดับ 5.00%-5.25% ในการประชุมเดือนพฤษภาคม

ส่วนในฝั่งเอเชีย อีกไฮไลท์สำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งแรกของผู้ว่าฯ BOJ ท่านใหม่ (Kazuo Ueda) โดยแม้เราจะคาดว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.10% พร้อมกับคงเป้าหมายบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น ที่ระดับ 0.00%+/-0.50% แต่ผู้เล่นในตลาดก็เริ่มคาดหวังว่า BOJ อาจมีการส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ หลังอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด (Core-Core CPI) เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 3.8% ซึ่งต้องจับตาว่า BOJ จะมีการปรับนโยบายการเงิน เช่น ปรับกรอบของบอนด์ยีลด์ 10 ปี หรือ ยกเลิกการทำ Yields Curve Control ในการประชุมครั้งนี้หรือไม่เพราะหาก BOJ ปรับใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ก็อาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นได้ นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมีนาคม

และในฝั่งยุโรป ตลาดมองว่า เศรษฐกิจยูโรโซนยังมีแนวโน้มขยายตัวราว +1.4%y/y ในไตรมาสแรกของปีนี้ หนุนโดยการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ ในขณะที่ภาคการผลิตนั้นชะลอตัวลงชัดเจน สอดคล้องกับรายงานดัชนีPMI ในช่วงต้นปี ซึ่งภาพเศรษฐกิจยูโรโซนที่ยังคงขยายตัวอยู่และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เป็นอย่างมาก จะหนุนให้ ECB สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องได้ (ตลาดคาดอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate อาจแตะระดับ 3.75% จากระดับ 3.00% ในปัจจุบัน)

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการและคาดการณ์ผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดก็อาจหนุนให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อได้