เปิด 10 หุ้นเด่นในสหรัฐ  แกร่งสู้เงินเฟ้อ สวนกระแสเศรษฐกิจถดถอย  

เปิด 10 หุ้นเด่นในสหรัฐ  แกร่งสู้เงินเฟ้อ สวนกระแสเศรษฐกิจถดถอย  

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความผันผวน จากการควบคุมเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องของเฟด แต่ท่ามกลางข่าวลบ แต่ยังมีหุ้นดีราคาถูกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวอยู่มาก บลจ.จิตตะ เวลธ์ เผยใช้อัลกอริทึมสแกนหุ้นเด่น พบ 10 บริษัทสุดแกร่ง สร้างกำไรสุทธิโตเกิน 30%  สวนกระแสเศรษฐกิจปี 65 

ความเคลื่อนไหวของ "ตลาดหุ้นสหรัฐ"   ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงขณะนี้เรายังได้เห็นความผันผวนในตลาด หลังจากที่เปิดต้นปีมาตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้นแต่กลับเข้าสู่ในแดนลบอีกครั้งในเดือนก.พ. และต้นเดือนมีนาคมมาไม่กี่วันดัชนีในตลาดหลักของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในขาลง 


ความผันผวนดังกล่าวเกิดจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ปรับเพิ่มขึ้นในเดือน

ล่าสุด สวนทางกับเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 2% ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและภาคแรงงานที่แข็งแกร่ง กดดันค่าแรงและอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะในภาคบริการ ซึ่งตามข้อมูลของ CME FedWatch ตลาดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในปี 2566 อยู่ที่ 5.5% 


 

หุ้นสหรัฐ

อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ กลับทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดีในปี 2566 ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์  2566 ดัชนี S&P 500 +3.4% ในขณะที่ดัชนี Nasdaq +9.45% หากพิจารณาข้อมูลทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ  เราจะพบว่ายังมีหุ้นหลายตัวที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา 

"ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์  แนะนำว่า ในภาวะตลาดเช่นนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องเลือกลงทุนให้เหมาะสมเพื่อผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งเราสามารถคัดหุ้นเด่นๆ ของสหรัฐฯ ด้วยอัลกอรึทึมในการค้นหาหุ้นพื้นฐานดี ราคาเหมาะสม

ตามหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ของบลจ.จิตตะ เวลธ์ จะสแกนหุ้นสหรัฐ ที่มีฐานะทางการเงินและอัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่งออกมาได้ทั้งตลาด พบหุ้นเด่น ของ Jitta Ranking 10 บริษัท ที่สามารถสร้างรายได้และการเติบโตของกำไรสวนกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีความผันผวน เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนพิจารณาและศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ ดังนี้

1.NVR, Inc. (NYSE:NVR) เป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม นอกจากนี้บริษัทได้ให้บริการด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ซื้อรายย่อย 
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา NVR มีรายได้ในรอบ 12 เดือนล่าสุดอยู่ที่ 10,575 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวกว่า 17% ส่วนกำไรสุทธิมีอัตราการเติบโตที่ 39% และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำที่ 0.29 เท่า

2.PulteGroup, Inc. (NYSE:PHM)  บริษัทดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และให้บริการทางการเงิน ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย รวมไปถึงดำเนินธุรกิจด้านประกันอีกด้วย 

ความโดดเด่นของ PulteGroup คือบริษัทสามารถสร้างอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิถึง 34.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมไปถึงมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE สูงถึง 31.9%

3.KB Home (NYSE:KBH)  ผู้ให้บริการด้านออกแบบก่อสร้างบ้านและอสังหาริมทรัพย์ เน้นเฉพาะลูกค้าในเมืองใหญ่ รวมไปถึงโครงการมิกซ์ยูสที่กำลังเป็นที่นิยมในสหรัฐฯ โดยรายได้ 99% มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ดำเนินธุรกิจใน 9 รัฐ 47 เมืองทั่วประเทศสหรัฐฯ กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 44.6% จากปีก่อนหน้า และมีอัตรา P/E ต่ำที่ระดับ 4.43 เท่า

4.M/I Homes, Inc. (NYSE:MHO) บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการสร้างบ้านเดี่ยวสำหรับอยู่อาศัย และ ให้บริการด้านการเงิน บริษัทดำเนินธุรกิจใน 11 รัฐ สร้างบ้านไปแล้ว 140,000 หลังทั่วประเทศ ปัจจุบันบริษัทเริ่มโครงการ 'Smart Series' เป็นบ้านสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ราคาหุ้นของบริษัทปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 25.44% และมีอัตราส่วน P/E อยู่ที่ 3.83 เท่า

5.Installed Building Products, Inc. (NYSE:IBP) บริษัทผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งฉนวนป้องกันไฟไหม้ น้ำรั่ว ความร้อน และ แมลงสำหรับที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลและอาคารสำนักงาน โดยบริษัทมีสำนักงานทั้งหมด 210 สาขา โดยบริษัทก่อตั้งมาแล้ว 46 ปี ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีสูงถึง 32.36% และกำไรสุทธิขยายตัวกว่า 57% เมื่อเทียบกับปีก่อน

6.Broadcom Inc. (NasdaqGS:AVGO) บริษัทออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ไปจนถึงซอฟแวร์สำหรับระบบโครงสร้าง โดยให้บริการทั่วโลกประกอบด้วย สหรัฐฯ เอเชีย และ ยุโรป นอกจากนี้ยังมีทีมวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะด้านของลูกค้า โดยลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ถูกจัดอันดับอยู่ใน Fortune 500 รวมไปถึงองค์กรภาครัฐต่างๆ ล่าสุดบริษัทมีกำไรเติบโตที่ 70.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE สูงถึง 48.2%

7.Brunswick Corporation (NYSE:BC) บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเรือที่ใช้กิจกรรมสันทนาการ เป็นซัพพลายเออร์ด้านเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเรือ รวมไปถึงเป็นผู้ผลิตเรือ นอกจากนี้บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการด้านเรือครบวงจร เช่น โรงเรียนสอนขับเรือ บริการด้านการเงินสำหรับซื้อเรือ และ ประกันภัยเรือ เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเรืออย่างแท้จริง เป็นบริษัทเก่าแก่ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2388 หรือ 178 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นขอบริษัทพุ่งขึ้นกว่า 20.95% และ มีอัตราส่วน P/E อยู่ที่เพียง 11.9 เท่า


8.TopBuild Corp. (NYSE:BLD) ตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและฉนวนสำหรับที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม มีสำนักงาน 235 แห่งทั่วประเทศสหรัฐ และ 175 ศูนย์กระจายสินค้าทั้งในสหรัฐฯ และแคนาดา บริษัททำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีได้สูงถึง 31.05% มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำที่ 0.91 เท่า และ มีกำไรสุทธิเติบโตจากปีก่อนหน้าสูงถึง 55%

9.Deere & Company (NYSE:DE) ผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องจักรหลากหลายด้าน ทั้งด้านการเกษตร งานโยธา งานก่อสร้าง และ งานป่าไม้ เป็นต้น นอกนากนี้ยังให้บริการด้านการเงินสำหรับการเช่าซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายใต้แบรนด์ John Deere กำไรสุทธิของบริษัทเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าขยายตัวได้ถึง 45.1% ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE สูงถึง 41.7%

10.KLA Corporation (NasdaqGS:KLAC) บริษัทให้บริการด้านการควบคุมมาตรฐานและพัฒนาประสิทธิภาพในการการผลิตในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และนาโนอิเล็กทรอนิกส์ โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และ เอเชีย  เช่น TSMC และ Samsung Electronics เป็นต้น บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูงถึง 106.5% และ 20.5% ตามลำดับ 

“นักลงทุนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้มากนัก  แต่หากพิจารณาจากข้อมูลเหล่านี้เราจะพบว่าแม้จะมีความผันผวน แต่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจและราคายังไม่แพงอยู่อีกมาก ที่นักลงทุนสามารถแสวงหาเพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่น่าสนใจทีเดียว”