สรรพากรเล็งออกกฎหมายแก้ปัญหาใบกำกับภาษีปลอมธุรกิจค้าเหล็ก

สรรพากรเล็งออกกฎหมายแก้ปัญหาใบกำกับภาษีปลอมธุรกิจค้าเหล็ก

กรมสรรพากรกำลังแก้ไขปัญหาใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มปลอมในธุรกิจค้าเหล็ก โดยจะเสนอออกกฎหมายให้ผู้ค้าเหล็กรายใหญ่หรือโรงหลอมเหล็ก ซึ่งเป็นธุรกิจปลายทางของธุรกิจ ทำหน้าที่ในการออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มแทนซัพพลายเชนธุรกิจค้าเหล็กต่างๆ

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากร เตรียมแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจรับซื้อเศษเหล็ก เพื่อแก้ปัญหากรณีมีการโกงการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยกรมฯเสนอที่จะออกพระราชกฤษฎีกา ในเรื่องที่เกี่ยวกับการออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจค้าเหล็กโดยให้โรงหลอมเหล็ก ซึ่งเป็นปลายทางของระบบการค้าขายในธุรกิจค้าเหล็กในประเทศ ทำหน้าที่ในการออกภาษีขายแทนธุรกิจค้าเหล็ก

ทั้งนี้ ในระบบการค้าขายธุรกิจค้าเหล็ก จะเริ่มจาก ผู้รับซื้อเศษเหล็กรายย่อย เช่น คนที่ขี่รถซาเล้ง ออกไปรับซื้อเศษเหล็กตามบ้าน เพื่อมานำส่งขายให้กับผู้รวบรวมเศษเหล็ก ซึ่งมีทั้งรายเล็กและรายใหญ่ จากนั้นผู้รวบรวมเศษเหล็ก ก็ขายเศษเหล็กให้กับโรงหลอมเหล็ก เพื่อแปรรูปเหล็กนำกลับมาใช้อีกครั้ง  ซึ่งตามกฎหมายปัจจุบัน ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม กำหนดให้ผู้ขายเป็นผู้ออกใบกำกับภาษีขาย 

ดังนั้น เมื่อบริษัทผู้รวบรวมเหล็ก ขายเหล็กให้กับโรงหลอมเหล็ก บริษัทผู้รวบรวมจะต้องออกใบกำกับภาษีขาย ให้กับโรงหลอม ทำให้ผู้ขายทำหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่อยู่ในอัตรา 7% ให้กับกรมสรรพากรอย่างไรก็ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ จะกำหนดให้ ธุรกิจโรงหลอมเหล็ก เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีขายแทนธุรกิจผู้รวบรวมเศษเหล็ก 

สำหรับสาเหตุที่ต้องแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเกิดปัญหาการปลอมใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มในธุรกิจนี้จำนวนมาก ซึ่งมีทั้งที่ตั้งใจปลอมใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อหวังขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม มากกว่าปกติ และมีทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจปลอมใบกำกับภาษี แต่เนื่องจากโรงหลอมเหล็กที่เป็นผู้รับซื้อเศษเหล็ก อาจมีใบกับภาษีปลอมติดเข้ามาด้วย จากผู้รวบรวมเศษเหล็กขาย เช่น มีใบกำกับภาษี 1 พันใบ พบใบกำกับภาษีปลอม 20 ใบ เมื่อกรมฯตรวจพบ ก็จะกลายเป็นคดีโกงภาษีโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นจำนวนมาก ซึ่งกฎเหล็กของกรมสรรพากร คือ หากมีกรณีตรวจพบใบกำกับภาษีปลอม จะไม่มีการเจรจา

“เรามีคดีที่เกี่ยวกับการโกงใบกำกับภาษีในธุรกิจค้าเหล็กเยอะ เราก็ตรวจเข้ม ก็ไปดูจะทำอย่างไร ได้ทางออกมาแล้ว คือ ระบบภาษีมูลค่า มีกลไกหนึ่งที่เรียกว่า Reverse Charge หรือ การตรวจสอบย้อนหลัง ถ้าเราเชื่อมั่นในการทำธุรกิจขนาดใหญ่ของเขา เขาสามารถทำหน้าที่ทั้งภาษีขายและภาษีซื้อได้ทั้งสองขา เราคิดในกรมฯแล้ว กำลังดำเนินการด้านกฎหมาย และคุยกับผู้ประกอบการแล้ว เขาก็แฮปปี้ ในระยะสั้นจะออกเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ในระยะยาวจะทำให้ดีต้องแก้ที่ประมวลรัษฎากร”

เขากล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายเพื่อให้โรงหลอมเหล็ก ซึ่งเป็นปลายทางของธุรกิจค้าเหล็ก เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีขาย แทนผู้รวบรวมเหล็ก จะทำให้กรมสรรพากร ตรวจสอบใบกำกับภาษี ของโรงหลอมเหล็กซึ่งมีไม่กี่รายในประเทศ แทนที่จะต้องไปตรวจสอบใบกำกับภาษี จากผู้รวบรวมเหล็ก ที่มีเป็นจำนวนมากในประเทศ ซึ่งกรมฯได้คุยกับผู้ประกอบการในธุรกิจนี้แล้ว ซึ่งเห็นด้วยกับระบบนี้ว่า จะสามารถสร้างความโปร่งใสในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจนี้ได้  ซึ่งกรมคาดว่าจะสามารถประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวได้ภายในปีนี้

ทั้งนี้ ตามกฎหมายของกรมสรรพากร กำหนดให้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ที่ประกอบการค้า และมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกรมฯ โดยทุกครั้งที่ขายสินค้าออกไป จะต้องออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ซื้อ ซึ่งในฝั่งผู้ขาย จะเรียกว่าใบกำกับภาษีขาย ขณะที่ ฝั่งผู้ซื้อซึ่งจะได้รับใบกำกับภาษีด้วย เรียกว่า ใบกำกับภาษีซื้อ เช่นราคาสินค้าราคา 100 บาท ผู้ขายจะบวกภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 บาท รวมเป็น 107 บาท ซึ่งผู้ขายมีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 บาทดังกล่าวต่อกรมสรรพากรในเดือนถัดไป ส่วนฝั่งผู้ซื้อสินค้าที่ต้องชำระเงินในราคา 107 บาทนั้น เท่ากับว่ามีภาระภาษี 7 บาท ซึ่งภาษี 7 บาทนี้ถือเป็นภาษีซื้อของผู้ซื้อ ซึ่งผู้ซื้อสามารถนำภาษีซื้อดังกล่าวมาหักออกจากยอดภาษีขายได้ กรณีภาษีขาย น้อยกว่าภาษีซื้อ ธุรกิจนั้นก็จะได้รับการคืนภาษีส่วนเกิน

ด้านนายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองอธิบดีกรมสรรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากรกล่าวว่า แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว เป็นมาตรการใช้ชั่วคราวที่เปลี่ยนคนนำส่งภาษีเท่านั้น  ซึ่งในต่างประเทศ เช่น ยุโรปเขาก็นำมาใช้ โดยเลือกนำมาใช้เฉพาะบางกิจการเท่านั้น หากเรานำมาใช้ จะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคซึ่งเชื่อว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาใบกำกับภาษีปลอมในธุรกิจดังกล่าวได้